- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 08 August 2019 16:03
- Hits: 3161
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Domestic, Defensive and Dividend Play//Accumulate on Dip
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบกว้างตามคาดโดยอ่อนตัวลงในช่วงเปิดตลาดก่อนที่จะรีบาวด์กลับขึ้นมาบวกราว 10 จุดระหว่างวันหลังกนง.ลดดอกเบี้ยสวนทางกับที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตามดัชนีย้อนกลับมาปิดลบ 2.04 จุด ณ สิ้นวัน แรงซื้อยังคงมาจากสถาบันในประเทศสูงถึง 4.6 พันลบ.ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องหนาแน่นอีก 3.6 พันลบ. (ต่างชาติ Short Index Future เล็กน้อย แต่สถาบันในประเทศ Long 8.2 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะยังแกว่งตัว Sideways ในกรอบกว้างบริเวณ 1,670-1,780 จุดและมีความผันผวนสูงจากประเด็นสงครามการค้าที่ยังตึงเครียดกดดันบรรยากาศการลงทุนและเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจนทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งรวมถึงธปท.ต้องปรับลดดอกเบี้ยซึ่งเซอร์ไพรซ์ตลาด ขณะที่ทรัมป์ยังคงกดดัน FED ให้ลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มกลุ่ม Global Play ยังไม่น่าสนใจในการเข้าลงทุน อย่างไรก็ตามสำหรับปัจจัยในประเทศเรายังคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ของรัฐบาลในช่วงที่เหลือของปีนี้ เรายังมองจังหวะปรับฐานของดัชนีหาแนวรับบริเวณ 1,650 จุดบวกลบยังเป็นจังหวะทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานเพื่อถือลงทุนระยะกลาง-ยาวโดยเน้นกลุ่ม Domestic Play
กลยุทธ์ : พักเงินในหุ้น Domestic Defensive และ Dividend Play//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานบริเวณ 1,650 จุด
หุ้นเด่นเดือน ส.ค. : AMATA, BCH, MINT, SAPPE, SISB
หุ้นเด่นวันนี้: INTUCH
- แนะนำซื้อรับปันผล ราคาเป้าหมาย 67 บาท
- เรายังคงเลือกหุ้นที่เป็นหลุมหลบภัยจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของตลาด กำไรหลักของ INTUCH ขึ้นอยู่กับ ADVANC ซึ่งมีทิศทางฟื้นตัวชัดเจนหลังการแข่งขันด้านราคาลดลง ส่วน THCOM มีน้ำหนักไม่ถึง 1% ของกำไร INTUCH
- INTUCH ให้ dividend yield 2.1% (1.35 บ/หุ้น XD 19 ส.ค.) สูงกว่า ADVANC ที่ให้ dividend yield 1.7% (3.78 บ/หุ้น XD 16 ส.ค.) ขณะที่ราคาหุ้นใร upside แต่ ADVANC เต็มมูลค่า และ INTUCH มี valuations ถูกกว่า
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$757ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไต้หวัน US$589ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$117ล้าน ไม่มีประเทศใดที่มีเม็ดเงินไหลเข้า แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกภูมิภาคแต่อาจชะลอลงหลังมีข่าวว่าสหรัฐและจีนจะกลับมาเจรจาทางการค้ากันอีกครั้งในเดือนหน้า
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) กนง.เซอร์ไพร้ส์ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 1.50% เพราะศก.มีแนวโน้มโตต่ำกว่าที่ประเมิน เงินเฟ้อต่ำกว่าเป้า แม้เป็น sentiment บวกกับกลุ่มไฟแนนซ์ อสังหา ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และบาทอ่อนเป็นบวกกับผู้ส่งออก เป็นลบกับแบงก์ใหญ่, TVO, SYNEX, PTTEP, BLA แต่เรามองเป็นลบเพราะสะท้อนความเป็นห่วงศก.ของกนง. ทั้งที่ก่อนหน้านี้ให้น้ำหนักหนี้ครัวเรือนมากกว่า แต่เชื่อการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในปีนี้และรอการกระตุ้นศก.ของรัฐต่อไป
(-) LPN ปรับลดทุกเป้าหมายทั้งยอดขาย ยอดโอน การเปิดโครงการใหม่ เพราะ LTV ทำให้สถานการณ์แย่กว่าที่บริษัทประเมิน เราปรับกำไรปีนี้ลงอีก 9% เหลือ 1.26 พันลบ. -7% Y-Y ลดเป้าเหลือ 6.6 บาท ลดคำแนะนำเป็นขาย จากถือ
(0) กลุ่มแบงก์ NIM และกำไรกระทบไม่มากเพราะเชื่อธนาคารไม่ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ถ้าลดดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียวกระทบกำไรราว 6% ราคาหุ้นตอบรับไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่เราก็ลดน้ำหนักเป็น Neutral จาก Overweight เพราะสินเชื่ออาจชะลอกว่าคาด แนะลงทุนใน TISCO (TP 105 บาท) TCAP (TP 60 บาท) แบงก์ใหญ่ขาดปัจจัยบวก มีเพียงมูลค่าที่ถูก ได้แก่ KBANK (TP 212 บาท) SCB (TP 152 บาท)
(+) MTC กำไร 1.02 พันลบ. +2% Q-Q, +12% Y-Y น้อยกว่าเราและตลาดคาดเพราะสำรองหนี้สูงขึ้น เรายังคาดกำไรปีนี้ 4.8 พันลบ. คงราคาเป้าหมาย 64 บาท ราคาหุ้นเต็มมูลค่าสำหรับการลงทุนในปีนี้ แนะนำขายทำกำไร
(-) SPRC ขาดทุนสุทธิ 599 ลบ.แย่กว่าที่ตลาดคาดขาดทุน 400-500 ลบ. เพราะลดกำลังการกลั่นให้สอดคล้องกับค่าการกลั่นที่ลดเหลือ US$2.57/บาร์เรล (-16% Q-Q, -57% Y-Y) เชื่อว่าเป็นจุดต่ำสุดของปี แนะถือรับปันผล 0.1202 บ/หุ้น (yield 1.3%) เป้า 10 บาท
(-) PTTGC กำไรสุทธิ 2.2 พันลบ. -66% Q-Q, -80% Y-Y กำไรปกติ 4.7 พันลบ. -13% Q-Q, -47% Y-Y แย่กว่าตลาดคาด สงครามการค้าเป็นปัจจัยลบหลักต่อธุรกิจปิโตรเคมี มีเพียงความถูกที่ราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่า Book value 2Q19 ที่ 64 บ/หุ้นแล้ว ถ้ายังไม่มีหุ้น แนะหลีกเลี่ยง ถ้ามีอยู่แล้ว แนะนำอดทนถือ
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 22.45 จุด ปิดที่ 26,007.07 จุด จากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ตาม ถูกบรรเทาด้วยการเข้าซื้อหุ้นที่ร่วงลงหนักของนักลงทุน
(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดการค้าที่ลดลงระหว่างสหรัฐและจีน และค่าเงินหยวนทรงตัว รวมถึงได้แรงหนุนจากการควบรวมกิจการในธุรกิจเคมีภัณฑ์ของเยอรมนี
(0) ตลาดเอเชียปรับตัวผสม ท่ามกลางนักลงทุนที่เข้าซื้อคืนหุ้นที่ปรับลงในช่วงที่ผ่านมา
(0) ค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 30.76 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 2.54 ดอลลาร์ ปิดที่ 51.09 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ของตลาด
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 35.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,519.60 ดอลลาร์/ออนซ์ แตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 845.42 / +8.5 ตัน
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
8 ส.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.ค.)
- จีน: ส่งออก-นำเข้า (ก.ค.)
- ฟิลิปปินส์: 2Q19 GDP, ธนาคารกลางประชุม
9 ส.ค. - ญี่ปุ่น: 2Q19 GDP
- จีน: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ค.)
13 ส.ค. - ยูโรโซน: ZEW Survey Expectations
- สหรัฐ: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ค.)
14 ส.ค. - ยูโรโซน: 2Q19 GDP
15 ส.ค. - ไทย: วันสุดท้ายของการส่งงบการเงินให้ตลาดฯ
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Contact person : Veeravat Virochpoka Register : 047077
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research