- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 05 August 2019 16:35
- Hits: 2859
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ยังกังวลสงครามการค้า แต่วันหยุดไม่มีระเบิดเพิ่ม”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วันศุกร์ -15.04 จุด ปิดที่ 1684.71 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นที่ 82 พันล้านบาท ดัชนีฯปรับลงสอดคล้องกับเพื่อนบ้านที่อ่อนลงจากข่าวทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีจีนอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ เริ่ม 1 ก.ย.62 และไทยเกิดเหตุระเบิดป่วนเมือง ผู้ซื้อสุทธิรายเดียวคือ รายย่อย 5.8 พันล้านบาท ขายสุทธิเป็นต่างชาติ 3.6 พันล้านบาท สถาบัน 1.6 พันล้านบาท ขายเล็กน้อยคือโบรกเกอร์ และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติซื้อสุทธิลดลงเป็น 55 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ปัจจัยสำคัญ: ยังกังวลสงครามการค้า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรต่ำกว่าคาด โดยรวมยังค่อนไปทางลบ เฟดบอสตันเห็นว่ายังไม่ควรปรับลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับลงถ้วนหน้า บาทอ่อนต่อ ดาวโจนส์และน้ำมันล่วงหน้าปรับลด บอนด์ยิลด์ 10 ปี ลดไปถึง 1.8143% ด้านปัจจัยบวกคือ ช่วงเสาร์-อาทิตย์ ไม่มีเหตุการณ์ระเบิดเพิ่ม สงครามการค้าอาจนำไปสูเฟดลดดอกเบี้ยในอนาคต น้ำมันปรับตัวขึ้นได้ และดัชนีความกังวล (VIX) ลดเล็กน้อย
# ระยะสั้นคาด SET มีโอกาสปรับลง ยังกังวลสงครามการค้า ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเพิ่ม แต่ต่ำกว่าคาด คาดว่าหลักทรัพย์ที่ได้รับผลลบคือ ภาคการส่งออก ระวังกลุ่มสายการบิน คาด THAI และ AAV จะขาดทุนใน 2Q62 แต่พลังงานอาจดีขึ้นหลังน้ำมันรีบาวด์ กลยุทธ์ คือ การเก็งกำไร เข้าไว-ออกไว และรอจังหวะอ่อนตัว แนวรับที่ 1670-1660 จุด แนวต้านเป็น 1690-1700 จุด สำหรับการลงทุนทยอยซื้อสะสม เป้าหมายดัชนีระยะยาวเป็น 1750 จุด ด้วย P/E ที่ 17.4เท่า (Median+1 SD) กลุ่มหลักทรัพย์ที่แนะนำเป็น Domestic Play แต่รออ่อนตัวได้ คือ พาณิชย์- CPALL, BJC รับเหมาก่อสร้าง- CK,STEC,SEAFCO นิคมฯ-AMATA, ROJNA, WHA ท่องเที่ยว- MINT ขนส่ง AOT สื่อสาร- ADVANC ไฟแนนซ์- KKP, MTC, TISCO, TCAP และสื่อ- VGI กลุ่มการแพทย์- เน้นหลักทรัพย์ขนาดกลาง คือ CHG และ RJH
# Stock Pick Today : KBANK สินเชื่อ ณ สิ้น 2Q62 เติบโต +5.2%YoY, +1.0%QoQ และ +1.0%YTD โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่อยู่อาศัย ส่วนสินเชื่อ SME และสินเชื่อรายใหญ่ทรงตัว คุณภาพสินทรัพย์ทรงตัว โดย NPL ratio สิ้นมิ.ย.62 อยู่ที่ 3.4% ส่วน Coverage ratio เท่ากับ 158% ณ สิ้น 2Q62 ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 270 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปีนี้ที่ 1.6 เท่า หุ้น Laggard มากไป
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เป็นลบ {“ปิดลบ”ใต้“SMA10วัน”ต่อ (และถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง–ระยะกลาง”)}ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯสัปดาห์นี้“แกว่งลง”เป็นหลัก แต่เพราะลงแรง,เร็ว (มีแรงหนุน“สภาวะOversold + Divergence” ในกราฟรายนาที) จะช่วยให้มีลุ้นรีบาวด์ฯสั้นๆ(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน (กรณีดีดตัวขึ้นก่อน) 1690 – 1700 (หรือ 1710) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1680” (แนวรับย่อย “1670 / 1660”จุด}สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New High เข้ามาใหม่ SCC,PTG,COM7 หุ้นที่ยังอยู่ในลิสต์ คือ BBL,KBANK,CPALL,EKH หุ้นที่หลุดลิสต์ คือ ไม่มีหุ้นที่ควร Take Profit คือ ไม่มี
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : ERW (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 7.30)
Flash Note : HANA (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 22.70)
HMPRO (ถือ -ราคาพื้นฐาน 17.50)
PTT (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 53.00)
QH (ถือ -ราคาพื้นฐาน 3.20)
ROBINS (Not Rated)
SIRI (Fully Valued-ราคาพื้นฐาน 1.15)
Turnover List Watch : ไม่มีหลักทรัพย์ติด Cash Balance AIE หลุด
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- สงครามการค้า : ทรัมป์ขู่เก็บภาษีจีนเพิ่ม 3 แสนล้านดอลลาร์
# ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% คิดเป็นมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.
-/• เฟด: ประธานเฟด สาขาบอสตันกล่าวยังไม่จำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ย
# นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดสาขาบอสตันระบุในแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ว่า เขาไม่เห็นความจำเป็นที่ชัดเจนสำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในเวลานี้ ขณะที่เขากล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับการที่เฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เมื่วันพุธที่ผ่านมา โดยนายโรเซนเกรนให้เหตุผลว่า เนื่องจากอัตราการว่างงานของสหรัฐอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น และเสถียรภาพทางการเงินเพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาจากราคาหุ้นที่อยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และจากหนี้สินของภาคธุรกิจ
-/+ สหรัฐ: ตัวเลขเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาด
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 165,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 3.7%
# มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะระดับ 98.4 ในเดือนก.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.5 จากระดับ 98.2 ในเดือนมิ.ย.
# ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8% หลังจากดิ่งลง 1.3% ในเดือนพ.ค.
- ดาวโจนส์: ปรับลง หลังทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีจีนเพิ่ม
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,485.01 จุด ลดลง 98.41 จุด หรือ -0.37% ขณะที่ ดัชนี 2,932.05 จุด ลดลง21.51 จุด หรือ -0.73% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,004.07 จุด ลดลง 107.05 จุด หรือ -1.32%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงต่อเมื่อวันศุกร์ (2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 10% ขณะที่นักลงทุนผิดหวังกับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายหนึ่งแสดงความไม่เห็นด้วยกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดสัปดาห์นี้
+ น้ำมัน: ปรับขึ้น รีบาวด์
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.71 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 55.66 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.39 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 61.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (2 ส.ค.) โดยราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้น หลังจากร่วงลงอย่างหนักในวันพฤหัสบดีจากความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ามัน
• ทองคำ: ทะยาน ดอลลาร์อ่อนค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 25.1 ดอลลาร์ หรือ 1.75% ปิดที่1,457.5 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (2 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่บรรดาเทรดเดอร์เข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
• ผลกระทบไทยจำกัด หลังสหรัฐขึ้นภาษีจีนอีกครั้ง
# ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ตามที่สหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีนอีก 10% รวม 3,812 รายการ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.62 นั้น ประเมินว่า ผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกไทย และผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานจีน มีไม่มากนักเมื่อเทียบกับมาตรการที่ผ่านมา และบางส่วนเป็นสินค้าที่ไทยมีการนำเข้าสุทธิในปี 2561 และ 2562 ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ จะติดตามและเฝ้าระวังผลกระทบผ่านห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่างใกล้ชิด"
-/+ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยจะไม่เป็นมาตรการระยะสั้น
# รมว.คลัง กล่าวภายหลังการมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงการคลังถึงความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจว่า คาดว่าภายในเดือน ส.ค.นี้จะสามารถเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณามาตรการในภาพรวมทั้งหมด โดยเบื้องต้นมาตรการที่ออกมาจะไม่ใช่มาตรการระยะสั้น ส่วนรายละเอียดรจะพิจารณาจากความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ละส่วน ซึ่งมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดพิจารณาปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อเตรียมมาตรการมารองรับ
• สศค.คาดเหตุการณ์ระเบิดศุกร์ที่ผ่านมาเป็นเพียงระยะสั้น
# ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เหตุการณ์ระเบิดหลายจุดในกรุงเทพมหานคร (กทม.) วันนี้ เป็นเหตุการณ์ระยะสั้น ซึ่งเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ แต่ขณะนี้ยังเร็วไปที่จะประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
-มีความเสี่ยงสูงที่ปีนี้ GDP โตไม่ถึง 3%
# ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า มีความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตไม่ถึง 3% ซึ่งการใช้นโยบายการคลังเพียงอย่างเดียวคงจะไม่พอ แต่ต้องใช้นโยบายการเงินเข้ามาช่วยเสริม
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]