- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 05 August 2019 16:33
- Hits: 2781
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : Need to KNOW
Need to KNOW
ปัจจัยต่างประเทศ
- สงครามการค้าระอุขึ้นอีกรอบ หลังทรัมป์ประกาศจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 10% มูลค่า 3 แสนล้านUS$ มีผล 1 ก.ย.นี้ ขณะที่จีนก็พร้อมตอบโต้ และทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้าจากฝรั่งเศส ตอบโต้การที่ฝรั่งเศสเตรียมเก็บภาษี 3% ของรายได้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่สหรัฐ เช่น อเมซอน, กูเกิ้ล, แอปเปิล, เฟสบุ๊ก ฯลฯ
- ญี่ปุ่นประกาศถอนเกาหลีใต้ออกจาก White List มีผล 28 ส.ค.นี้ เพื่อเป็นการตอบโต้การที่ศาลเกาหลีใต้สั่งให้ญี่ปุ่นจ่ายชดเชยคนงานเกาหลีใต้ที่ถูกบังคับใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
- เหตุการณ์ความไม่สงบ มีเหตุการณ์ยิงกราดที่รัฐเท็กซัส และโอไฮโอ สหรัฐ แต่ยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดและตัวผู้ก่อความไม่สงบ ขณะที่การประท้วงในฮ่องกงยังดำเนินต่อไป สิ่งเหล่านี้ทำให้ Market risk เพิ่มขึ้น เป็นลบต่อการลงทุน
- PMI ภาคการผลิตอ่อนแอลง คือ PMI ภาคผลิตเดือนก.ค.ของยูโรโซนร่วงเป็น 46.5 ต่ำสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง และของสหรัฐร่วงเป็น 50.4 ต่ำสุดในรอบ 9 ปีกว่า
สหรัฐ : ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มน้อยกว่าคาด โดยเพิ่ม 164,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 165,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 3.7%
สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก.ค.เพิ่มเป็น 98.4 จาก 98.2 ในเดือนก่อน แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 98.5
+ ราคาน้ำมันดิบรีบาวด์หลังร่วงแรง ปัจจัยหนุนคือ สต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงต่อเป็นสัปดาห์ที่ 7
ปัจจัยในประเทศ
+ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาลใหม่ คาดว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศและการฟื้นฟูภาคท่องเที่ยว ซึ่งจะเข้าครม.ภายในเดือนส.ค.นี้
ประชุมกนง. 7 ส.ค.62 คาดจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมก่อนในรอบนี้ แต่มีโอกาสลดดอกเบี้ยใน 2H62 ส่วนคาดการณ์ตัวเลขจีดีพีของธปท.ดูว่ามี Downside risk
+/- รายงานผลประกอบการ 2Q62 และประกาศปันผลระหว่างกาล ซึ่งรายงานกำไร 2Q จะสิ้นสุดในกลางเดือนส.ค.นี้
- การไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติชะลอลงในช่วงสั้น หลังเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะสั้น (ผลจากเฟดไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะลดดอกเบี้ยลงอีกในอนาคตอนใกล้) และสะท้อนข่าวการที่ Fitch ratings และ Moody's ปรับเพิ่มแนวโน้มดรดิตของไทยเป็น Positive ไปแล้ว รวมถึงมีเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองหลายจุดเมื่อศุกร์ที่แล้ว
- ปัญหาภัยแล้งรุนแรงเกินคาด ซึ่งจะกระทบรายได้ภาคเกษตรที่เป็นกำลังซื้อหลักของประเทศ และอาจทำให้จีดีพีไทยโตต่ำกว่า 3%
***หุ้นแนะนำ Week ก่อน คือ DIF, MINT, RJH ให้ Return เฉลี่ย (WoW) เท่ากับ -2.3% แย่กว่า SET ที่ -1.9%***
กลยุทธ์การลงทุน
สรุปภาพรวม : SET ร่วงแรงในสัปดาห์ก่อนหลังสงครามการค้าร้อนระอุขึ้น เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งในและต่างประเทศ แต่ตลาดก็มี Upside risk คือ มาตรการกระตุ้นศก.เพิ่มเติมของรัฐบาลไทย, แรงซื้อ LTF และเก็งกำไรปันผลระหว่างกาล
ปัจจัยเสี่ยง เป็น Sell on fact ผลประกอบการ 2Q62, ความขัดแย้งทางการค้า, ปัญหาการเมืองโลก
กลยุทธ์ : เน้นซื้ออ่อนตัวเป็นหลัก เน้นหุ้นพื้นฐานมั่นคง หุ้น Defensive และหุ้นปันผลสูง
การวิเคราะห์เทคนิค - สัญญาณเป็นลบ แต่มีสิทธิเด้งจากการลงแรง การซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก โดยมีแนวต้านระยะสั้น 1700, 1710-1720 ค่าลบให้ Wait & See เพราะมีโอกาสลงไปที่ 1650+/-
หุ้น Top Picks รายสัปดาห์
หุ้นกลยุทธ์ที่มีพื้นฐานเด่นสำหรับสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย
AIMIRT - กองทุนมีสินทรัพย์ทั้ง Freehold และ Leasehold 30 ปี อัตราการเช่า 100% มี IRR 7% และให้ Dividend Yield 6-7% ต่อปี (จ่ายทุกไตรมาส) แนวต้านระยะสั้น 12.6-12.8 บาท
BBL - ราคาหุ้นร่วง 10% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ส่วนธุรกิจยังไปได้ดี แม้ว่าจะมีความเสี่ยงด้าน NPL ในกลุ่ม SME และรายย่อยเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าแบงค์จะบริหารจัดการได้ ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV 0.8 เท่า ต่ำสุดในรอบ 10 ปี แนวต้านระยะสั้น 185 (190) บาท
KKP - ผลประกอบการ 2H62 มีแนวโน้มดีขึ้นจากผลขาดทุนในการขายหลักประกัน (รถยึด) น้อยลง และมีรายได้ค่า Fee จากธุรกิจวาณิชธนกิจเข้ามาเพิ่ม คาดปันผลของปีนี้ยังคงสูง Yield ราว 6.9% (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) แนวต้านระยะสั้น 75+/- บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค & Research Team – [email protected]