- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 02 August 2019 16:02
- Hits: 3355
บล.เออีซี : Daily Focus
AECS Daily Focus
--------------
Market Outlook
• วันนี้เราคาด SET Index มีโอกาสปรับตัวลงต่อ หลังสถานการณ์สงครามการค้ากลับมาตึงเครียด อีกครั้ง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI วานนี้ปรับลงแรงกว่า 7.9% DoDคาดเป็นปัจจัยกดดันตลาดวันนี้ประเมินแนวรับถัดไปที่ 1,675 จุด
• Market Factor
• (-) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ย. 2562 อย่างไรก็ดีจะมีการเจรจาการค้ากันอีกครั้งในช่วงต้นเดือน ก.ย. ที่กรุงวอชิงตันประเทศสหรัฐฯ
• (-) สัญญาน้ำมันดิบ WTI และ Brent วานนี้ปรับลง 7.9%DoD และ 6.9%DoD หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ทำให้ตลาดกังวลภาวะเศรษฐกิจชะลอส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกลดลง
• (-) กระทรวงพาณิชย์ เผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) หรืออัตราเงินเฟ้อในเดือน ก.ค. อยู่ที่ 103.00 ขยายตัว 0.98%YoY (ตลาดคาดราว 1%) และขยายตัว 0.06%MoM ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค.ขยายตัวเฉลี่ย 0.92% ผลจากราคาสินค้ากลุ่มอาหารสดปรับสูงขึ้นจากผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน ขณะที่ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (CORE CPI) เดือนก.ค. อยู่ที่ 102.52 ขยายตัว 0.41%YoY แต่ชะลอตัวลง 0.03%MoM ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานช่วง 7 เดือนแรกขยายตัวเฉลี่ย 0.55% (สำนักข่าวอินโฟเควสท์)
• (-) Consensus ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 62 ที่ 115.14 บาท ขณะที่ปัจจุบันเหลือเพียง 104.26บาท หรือลดลง 9.45% Year To Date
• Update Flow เมื่อวานนี้ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1,716.98 ลบ.ส่งผลภาพWTD ต่างชาติขายสุทธิรวม 1,386.16 ลบ.
• Investment Strategy
• สัปดาห์หน้าเราประเมินการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index มีโอกาสผันผวนในกรอบ 1,670-1,710 จุด หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์สร้าง Negative Surprise ด้วยการประกาศเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมในวันที่ 1 ก.ย. กดดันตัวเลข ศก. ของสหรัฐฯ-จีน และคาดมีผลต่อมายัง ศก. ของประเทศที่อยู่ใน Supply Chain ให้มีแนวโน้มชะลอลงทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวกลับทำให้ตลาดเพิ่มความเชื่อมั่นว่า Fed มีโอกาสที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มขึ้นมาก (Probที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในปีนี้ เพิ่มเป็น 78.3% จากเพียง 42.5% ในวันก่อน) รวมทั้งยังกดดันให้จีนต้องออกนโยบายกระตุ้น ศก. เพิ่มขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าที่จะกลับมารุนแรงขึ้นอย่างไรก็ดีในช่วงสั้นเรายังแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวัง และคาดมีแรงขายในช่วงที่ตัวเลข ศก. ทั่วโลกอ่อนแอ และมาตรการกระตุ้น ศก. ใหม่ๆ ในต่างประเทศยังไม่มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ และลงทุนในหุ้นหลักเพียง 2 กลุ่ม ดังนี้
• หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นศก.ของรัฐฯ: จากภาวะ ศก.ที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนทำให้เรามองว่า ครม. ชุดใหม่ที่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการวานนี้มีโอกาสสูงที่จะเร่งออกนโยบายกระตุ้น ศก. ในระยะสั้นเพื่อพยุง ศก. เราจึงแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวที่ยังมี Upside น่าสนใจ ได้แก่ BJC (ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัว HoH จากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขาและสาขาที่กัมพูชา 1 สาขา BigC Food Place 1 สาขาและ Mini BigC ราว 200 สาขา), SEAFCO (ช่วง 2Q62 คาดโต5.4%YoY ด้วยงานก่อสร้างที่รับรู้สูงกว่าปีก่อนเราปรับเพิ่มประมาณการหลังได้รับงานใหม่ขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท) DCC (คาดปี 62 โตYoYหนุนด้วยกำลังผลิต และต้นทุนกระเบื้องดีขึ้นจาก Economy of scale หลังเข้าบริหารและถือหุ้น RCI อีกทั้งตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้เพิ่มอีก 5 สาขาพร้อมปรับ Business Model แบ่งพื้นที่สาขาให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่าเพื่อเพิ่มช่องทางรับรู้รายได้แก่บริษัท นอกจากนี้ยังซื้อขายที่ PER15.2X ถูกกว่าทั้ง GLOBAL และ HMPRO) และ ROBINS (แม้ช่วง 2Q62 คาดกำไรหดทั้ง QoQ และ YoY หลังเผชิญ SSSG ที่คาดติดลบราว 0.5-1% แต่คาดราคาหุ้นปรับลงมาเพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าวแล้วและคาดกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะยังโต HoH และโต YoYหนุนด้วยช่วง 4Q62 เป็นช่วง High Season และมีการกลับมาเปิดของ 3 สาขาที่ปิดปรับปรุง)
• กลุ่ม Defensive Stock: ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ ASK (คาดผลดำเนินงานมีโตต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง2Q62 หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.) และ LH (คาดได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่จำกัดเนื่องจากมีสัดส่วนโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดราว 2-3 เท่าบวกกับมีกำไรจากการลงทุนในHMPRO, QH และ LHFG ที่โตต่อเนื่อง หนุนคาดผลการดำเนินทั้งปีโต YoY และคาดมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานช่วง 1H62 คิดเป็น 3.2-3.6% ต่อปี)
1-Aug-19 Change (pts.) 31-Jul-19
SET Index 1,699.75 -12.22 1,711.97
SET50 Index 1,124.54 -6.38 1,130.92
SET100 Index 2,486.96 -18.80 2,505.76
High 1,709.05 Gainers 354
Low 1,694.93 Unchanged 391
Value (Bt m) 54,654.98 Losers 1,239
Volume (*000) 18,146,659
Market Valuation
SET Data 2018F 2019F Long Term
Fwd PER (x) 16.5 15.1 15.1
EPS Growth (%) 13.9 9.3 3.0
EV/EBITDA (x) 11.1 10.2 9.8
FWD PBV (x) 1.9 1.8 1.7
Dividend Yield (%) 3.0 3.3 3.5
ROE 11.2 11.4 11.3
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt 1-Aug-19 WTD MTD YTD
Institution (1,134.70) (2,433.89) (1,134.70) (4,311.89)
Proprietary (400.64) (2,011.18) (400.64) 18,136.31
Foreign (1,716.98) (1,386.16) (1,716.98) 58,985.82
Individual 3,252.31 5,831.22 3,252.31 (72,810.24)
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
จิรภัทร โบสุวรรณ (ID. 040051) [email protected]
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364) [email protected]
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary