WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
“ลบ...จากเฟดไม่ให้ความหวังจะลดดอกเบี้ยในอนาคต”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ +5.48 จุด ปิดที่ 1711.97 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบางลงที่ 50.9 พันล้านบาท ดัชนีฯปรับขึ้นสวนทางกับเพื่อนบ้านที่อ่อนลงตามข่าวสงครามการค้า ตลาดมีแรงเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารซึ่ง laggard มากๆ ก่อนเฟดจะมีถ้อยแถลงออกมา ผู้ซื้อสุทธิรายเดียวคือ สถาบัน 1.6 พันล้านบาท ขายสุทธิเป็นโบรกเกอร์ 1.1 พันล้านบาท ขายเล็กน้อยคือรายย่อยและต่างชาติ และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติซื้อสุทธิเป็น 60.7 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ปัจจัยสำคัญ: แม้เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด แต่เฟดไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ปรับลงแคบๆ ถ้วนหน้า เงินบาทอ่อน ระวังเงินไหลออก และดัชนีความกังวลปรับขึ้นไปถึง 16.12 จุด ตลาดหุ้นนิวยอร์คปรับลงแรง ด้านการเจรจาการค้าไม่คืบหน้ามากนัก ส่วนผลลบเกณฑ์ภาระหนี้ต่อรายได้มีผลลบจำกัดลงที่ ธปท.อาจนำมาใช้เพราะบังคับเฉพาะกลุ่ม ด้านตัวเลขเศรษฐกิจไทย มิ.ย.ชะลอลงกว่าพ.ค. อย่างไรก็ตามปัจจัยราคาน้ำมันยังดี ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ในระยะกลางยังต้องติดตามเฟด เพราะคาดว่าจะมีการประเมินเศรษฐกิจในอนาคตต่อว่าจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยหรือไม่ พิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจ ศุกร์นี้คือ จ้างงานนอกภาคการเกษตร
# ระยะสั้นคาด SET มีโอกาส Sideways ทางลง เฟดไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย คาดว่าหลักทรัพย์ที่อ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยจะได้รับผลลบ คือ อสังหาฯและเช่าซื้อ แต่ธนาคารดีขึ้น เพราะยังไม่ลดดอกเบี้ย ส่วนพลังงานยังดีจากราคาน้ำมันที่ขึ้นต่อเนื่อง กลยุทธ์ คือ การเก็งกำไร เข้าไว-ออกไว และรอจังหวะอ่อนตัว แนวต้านเป็น 1720-1730 จุด แนวรับที่ 1700-1690 จุด สำหรับการลงทุนทยอยซื้อสะสม เป้าหมายดัชนีระยะยาวเป็น 1750 จุด ด้วย P/E ที่ 17.4 เท่า (Median+1SD) กลุ่มหลักทรัพย์ที่แนะนำเป็น Domestic Play แต่รออ่อนตัวได้ คือ พาณิชย์- CPALL, BJC รับเหมาก่อสร้าง- CK,STEC,SEAFCO นิคมฯ-AMATA, ROJNA, WHAท่องเที่ยว- MINT ขนส่ง AOT สื่อสาร- ADVANC ไฟแนนซ์- KKP, MTC, TISCO, TCAP และสื่อ- VGI กลุ่มการแพทย์- เน้นหลักทรัพย์ขนาดกลาง คือ CHG และ RJHระมัดระวังหลักทรัพย์ได้รับผลลบจากธปท.จะออกเกณฑ์คุมเข้มหนี้ครัวเรือนมากขึ้น ส่งผลลบต่อหลักทรัพย์กลุ่มการบริโภคที่เจาะตลาดกลาง-ล่าง อสังหาฯ เช่น LPN และสถาบันการเงินอาจปล่อยกู้ได้น้อยลง
# Stock Pick Today : AEONTS สินเชื่องวดมี.ค.-พ.ค.62 เติบโต +10.4%YoY และ +3.3%YTD NPL ratio ณ สิ้นพ.ค.62 อยู่ที่ 2.8% ทรงตัว QoQ แต่เพิ่มขึ้นจาก 2.5%เมื่อเทียบ YoY อย่างไรก็ดี Coverage ratio เพิ่มเป็น 127% จาก 126% ในสิ้นก.พ.62 เพราะมีหนี้เสียกลับคืนเป็นหนี้ดีเพิ่มขึ้น +10%QoQ และ +38%YoY แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 250 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปี 62/63 (สิ้นสุดก.พ.63) ที่ 2.9 เท่า
 
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เหมือนจะเป็นบวกเล็กๆ {“ปิดบวก”ใต้“SMA10วัน” (โดยยังถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง –ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(แรงหนุน“สภาวะOversold”ในกราฟรายนาที)จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆ(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1720 (หรือ 1730) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1705” (แนวรับย่อย “1700 / 1690”จุด}
สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New High เข้ามาใหม่คือ AEONTS,TTCL,VNT หุ้นที่ยังอยู่ในลิสต์ คือ BBL,KBANK,CPALL,EKH, RJH,CHG, หุ้นที่หลุดลิสต์ คือ LPH,GFPT หุ้นที่ควร Take Profit คือ COM7,KKP 
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
 
 
 
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Industry Focus : ที่อยู่อาศัย
Company Guide : BDMS (ถือ -ราคาพื้นฐาน 28.00)
PF (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 1.07)
Flash Note : PTT (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 53.00)
In The News : กองทุนใหม่ที่จะมาแทน LTF
Turnover List Watch : คาดว่ายังไม่มีหลักทรัพย์ติด Cash Balance
New Listing : KUMWEL
 
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ผลประชุมเฟด : แม้ลดดอกเบี้ย 0.25% แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณจะปรับลดดอกเบี้ยในอนาคต
# คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติ 8-2 เสียงในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.2551โดยเฟดระบุว่าความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำของสหรัฐ เป็นสาเหตุสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
# นักลงทุนผิดหวังต่อถ้อยแถลงดังกล่าวของนายพาวเวล เนื่องจากนายพาวเวลไม่ได้ให้การรับประกันว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต ขณะที่นักวิเคราะห์จากยูบีเอสกล่าวว่า แถลงการณ์ของคณะกรรมการ FOMC และถ้อยแถลงของนายพาวเวล ไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆที่แสดงให้เห็นว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต
 
-/• เจรจาการค้า: ไม่มีอะไรคืบหน้านัก รอเจรจาครั้งหน้า
# สำหรับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนรอบใหม่นั้น ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวานนี้ที่นครเซี่ยงไฮ้ โดยไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความคืบหน้าในการยุติข้อพิพาทการค้าที่ยืดเยื้อมานานนับปี อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์ของจีนระบุว่าการเจรจาการค้าครั้งนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ โดยทั้งสองฝ่ายมีการหารือกันเกี่ยวกับการให้จีนซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐมากขึ้น และเห็นพ้องที่จะจัดการเจรจาครั้งต่อไปในเดือนก.ย.ที่สหรัฐ
 
+/- สหรัฐ: การจ้างงานภาคเอกชน ก.ค.เพิ่มขึ้น และมากกว่านักวิเคราะห์คาด
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐพุ่งขึ้น 156,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 150,000 ตำแหน่ง
 
• สหรัฐ: ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร ประกาศศุกร์นี้
# นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ของสหรัฐซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 165,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 3.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี
 
- ดาวโจนส์: ปรับลง หลังเฟดไม่ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยอีกในอนาคต
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวันทำการล่าสุดที่ 26,864.27 จุด ร่วงลง 333.75 จุด หรือ -1.23% ขณะที่ดัชนีS&P500 ปิดที่ระดับ 2,980.38 จุด ลดลง 32.80 จุด หรือ -1.09% โดยทั้งดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ต่างก็ปิดร่วงลงในวันเดียวที่หนักที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.ปีนี้ ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,175.42 จุด ลดลง 98.19 จุด หรือ -1.19%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงหนักสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อคืนนี้ (31 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต แม้คณะกรรมการเฟดได้ตัดสินใจลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งแรกในรอบ 11 ปี
 
+ น้ำมัน: ปรับขึ้น รับเฟดลดดอกเบี้ย
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 53 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 58.58 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 45 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 65.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 ก.ค.) ขานรับสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ปรับตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และยังลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 7 นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานี้ตามคาด
 
• ทองคำ: ปรับลง ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า
# สัญญาทองคำ ตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 4 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่1,437.80 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ก.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้ลดความน่าดึงดูดของทองคำ โดยสัญญาทองคำปิดในแดนลบเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะแถลงมติการประชุม ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนของก.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้
 
• ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้
# นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์,ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนมิ.ย., ดุลการค้าเดือนมิ.ย., ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานมิ.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
-/• แบงค์ชาติคุมหนี้ครัวเรือน ผลทางลบจำกัดมากขึ้น
# จากการที่ ธปท.มีแนวคิดนี้โดยจำกัดอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) มาใช้กับสถาบันการเงินปลายปีนี้ แม้จะมีผลกระทบทางลบในการจำกัดกำลังซื้อ คือ สถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้เพิ่มให้ แต่ผลกระทบก็จะจำกัดมากขึ้นจากเกณฑ์รายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท/เดือน กู้ไม่เกิน 70% ให้ระวังการปล่อยกู้เด็กจบใหม่และคนวัยเกษียณ
# นั่นคือยังไม่กระทบกับ ผู้ที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท/เดือน และในสัดส่วน 70% ก็ไม่ถือว่าต่ำมาก ดูแล้วยัง In lineกับปัจจุบันที่เป็นอยู่ เช่นในกรณีเกณฑ์เป็น 50% จะยิ่งจำกัดจำเขตมากขึ้นและกระทบหนัก
# สำหรับหลักทรัพย์ MTC และ SAWAD ปัจจุบันยังไม่เข้าเกณฑ์นี้ เพราะไม่ได้ขึ้นกับ ธปท.แต่ขึ้นกับกระทรวงการคลัง
 
+ รมว.คลัง และคณะ ได้พบ รมว.เศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น
# รมว.คลัง และคณะ ได้พบ รมว.เศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เพื่อกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น รวมทั้งสร้างความมั่นใจในการสานต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายการพัฒนภาคอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ซึ่งญี่ปุ่นได้มีส่วนร่วมในโครงการลงทุนต่างๆ ใน EEC ด้วย
 
+ กระทรวงพลังงานเตรียมทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี 2561-2580 (PDP2018)
# รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานเตรียมทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี 2561-2580(PDP2018) เพื่อให้มีการกระจายพลังงานไปสู่ชุมชนมากขึ้น รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ใช้พลังงานเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าได้ ตลอดจนจะมีการพิจารณาข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่เห็นว่ารัฐมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 51% ภายใน 10 ปีนับจากปี 2562 รวมถึงการพิจารณาประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
 
-ธปท.เผยเศรษฐกิจไทยเดือนมิ.ย.2562 ชะลอจากเดือนก่อน
# ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยเศรษฐกิจไทยเดือนมิ.ย.2562 ชะลอจากเดือนก่อนจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ โดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวชะลอลงในเดือบทุกหมวด ขณะที่เครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนหดตัว และการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุน
# ด้านการส่งออกสินค้า การนำเข้าสินค้า และการผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่อง สำหรับภาคการท่องเที่ยวขยายตัวเล็กน้อยจากนักท่องเที่ยวอินเดียเป็นสำคัญ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนยังหดตัว
 
-EXIM BANK ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของมูลค่าส่งออกของไทยในปี 2562
# ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของมูลค่าส่งออกของไทยในปี 2562 โดยคาดว่าจะขยายตัว 0.2% หลังจากในช่วงครึ่งแรกปี 2562 มูลค่าส่งออกของไทยหดตัวถึง 2.9%เป็นผลของสงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯ-จีน ทำให้สินค้าส่งออกของไทยในห่วงโซ่การผลิตและพึ่งพาตลาดจีนสูงหดตัวต่อเนื่อง อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เม็ดพลาสติก
 
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!