- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 25 July 2019 16:35
- Hits: 2935
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ภาพรวม SET Index ยังอยู่ในภาวะที่ไม่มีปัจจัยใหม่ๆ ที่จะผลักดันราคาหุ้นไปทิศทางใดทางหนึ่งที่ชัดเจน โดยยังรอผลการประชุมของทั้ง Fed และ ECB ซึ่งคาดหมายว่าจะเห็นการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มขึ้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ มีการปรับพอร์ตโดย ขายทำกำไรหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นมาจนใกล้ Fair Value และเพิ่มหุ้นใหม่เข้าไป 2 บริษัท ที่คาดว่าจะ Outperform ตลาดได้ คือ TTCL (FV@ 12.50) และ EASTW (FV@B 15.20) พร้อมเลือกเป็น Top Picks
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …แกว่งผันผวนเป็นวันที่ 2
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยแกว่งผันผวนตลอดวันเป็นวันที่ 2 จากที่ยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาหนุนเพิ่มเติมเหมือนวันอังคารที่ผ่านมา จนสุดท้ายปิดที่ระดับ 1725.44 จุด เพิ่มขึ้น 0.57 จุด (+0.03%) มูลค่าการซื้อขาย 5.28 หมื่นล้านบาท โดยกลุ่มที่หนุนตลาด คือ กลุ่มสื่อสารเช่น ADVANC(+1.41%) DTAC(+3.04%) TRUE(+2.34%) JMART(+1.61%) กลุ่มค้าปลีกอย่างเช่น COM7(+1.67%) BEAUTY(+1.04%) แต่โดนแรงกดดันจากกลุ่มอาหารเช่น CPF(-2.61%) MINT(-1.84%) M(-0.63%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่าง SCB(-2.12%) IVL(-1.83%) และ CPN(-1.02%) เป็นต้น
SET Index ยังอยู่ในช่วงของการปรับฐานราคาต่อไปอีกระยะ เหตุเพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ ที่มีน้ำหนักในการที่จะขับเคลี่อนราคาหุ้นไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน ทั้งนี้ประเด็นที่รออยู่ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ย ผ่านผลการประชุม ECB และ Fed โดยที่นักลงทุนคาดหวังว่าจะเห็นการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศน้ำหนักอยู่ที่การเร่งออกมาตรการกระตุ้นภาคเศาษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งน่าจะดำเนินการได้หลังการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา (25-26 ก.ค.2562) สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ให้ความสำคัญอยู่กับหุ้นที่คาดหมายว่าจะมีผลประกอบการ 2Q62 แข็งแกร่ง , มีการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และ หุ้นน่าจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง หรือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะประกาศออกมา ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยได้ปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ โดยขายทำกำไรหุ้นในพอร์ตที่ราคาปรับขึ้นมาแล้วจนเหลือ Upside เมื่อเทียบกับ Fair Value จำกัด ซึ่งได้แก่ M และ KKP ทำให้มีน้ำหนักเงินลงทุนเหลืออยู่ 25% ซึ่งได้จัดให้เช้าไปลงทุนในหุ้น 2 บริษัทใหม่ได้แก่ TTCL (FV@B 12.50)บาทจากผลประกอบการ 2Q62 ที่โดดเด่นและพัฒนาการเชิงบวกของการทำธุรกิจโรงไฟฟ้าในเมียนมาร์ ด้วยน้ำหนัก 10% และ EASTW (FV@B 15.20) ที่ด้วยน้ำหนัก 15% จากการที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ภัยแล้ง ขณะที่นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มประมาณการและ Fair Value
ตลาดให้น้ำหนักการประชุม ECB วันนี้ และ Fed สัปดาห์หน้า
วัฎจักรดอกเบี้ยโลกเป็นขาลงชัดเจน เห็นได้จากจากธนาคารกลางต่างๆของโลกส่งสัญญาณและเดินหน้าใช้การเงินผ่อนคลาย โดยในวันนี้ให้น้ำหนักการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) แม้ในรอบนี้ตลาดคาดว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างชัดเจน แต่มีบางส่วนคาดว่า ECB อาจปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากกับ ECB ลง 0.1% เหลือ -0.5% (ผลสำรวจ Bloomberg พบ 40% คาดลด และ 60% ยังไม่ลด) อย่างไรก็ตามให้น้ำหนักว่า ECB จะส่งสัญญาณกระตุ้นผ่านการกลับมาใช้ QE อีกครั้งหรือไม่ หลังจากก่อนหน้าประธาน ECB ให้ความเห็นพร้อมจะเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปที่เผชิญความเสี่ยงชะลอตัว
และวันศุกร์นี้สหรัฐจะรายงาน GDP Growth งวด 2Q62 ตลาดคาดขยายตัว 1.8%qoq ชะลอจาก 3.1% qoq ในงวด 1Q62 (หรือ 2.6%yoy ชะลอจาก 3.2%) เชื่อว่าจะมีผลต่อคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ โดยการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) วันที่ 30-31 ก.ค. นี้ ตลาดเชื่อมั่น 100% ว่าในรอบนี้ Fed จะลดดอกเบี้ยจากปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% (ผลสำรวจ Bloomberg พบว่า 80% คาดจะลดราว 0.25% อีก 20% คาดจะลด 0.5%) อย่างไรก็ตาม ถ้า Fed ชะลอการลดดอกเบี้ยในรอบนี้เชื่อว่าตลาดอาจจะปรับฐานในช่วงสั้น
จากทิศทางดอกเบี้ยโลกที่เป็นขาลง คาดว่าจะยังเป็นปัจจัยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าภูมิภาคต่อ แม้ว่าในระยะสั้น อาจถูกจำกัดจากความกังวล Brexit ที่กดดันค่าเงินปอนด์อ่อนค่า (เงินปอนด์อ่อนค่าราว 1.73%mtd และหากนับตั้งแต่ต้นปี อ่อนค่า 1.7%ytd) ส่งผลให้ Dollar Index (Dollar Index ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. แข็งค่า 1.64%mtd) แข็งค่า Fund Flow จึงมีแนวโน้มชะลอการไหลออกจากสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ และไหลเข้าภูมิภาคน้อยลงเช่นกัน แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Heaven)
ราคาน้ำมันดิบลดลง แม้สต็อกน้ำมันจะลดลงติดต่อ 6 สัปดาห์
สำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐ(EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐปรับลดลงติดต่อกัน 6 สัปดาห์ติดต่อกัน คือ ลดลงแรงราว 10.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดจะลด 4 ล้านบาร์เรล และปัจจัยหนุนจากการที่กลุ่มประเทศ OPEC และ Non OPEC ขยายระยะเวลาตัดลดกำลังการผลิตวันละ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ออกไปจนถึง 31 มี.ค.2563 อย่างไรก็ตาม Supply น้ำมันดิบที่ทยอยเพิ่มขึ้นจากแหล่งผลิตสหรัฐ ล่าสุดกำลังการผลิตอยู่ที่ 11.3 ล้านบารร์เรล/วัน(สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก รองลงมาคือ รัสเซีย 11.1 ล้านบาร์เรล) และในตะวันออกกลางบางแหล่ง อาทิ ในลิเบีย คือ แหล่งผลิต el chalala ที่เริ่มกลับมาผลิตอีกครั้งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จะทำให้ Supply น้ำมันเพิ่มอีกราว 2.92 แสนบารร์เรล/วัน
และเชื่อว่าราคาน้ำมันจะถูกกดดันจากฝั่ง Demand จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากผลกระทบของสงครามการค้า เห็นได้จาก ล่าสุด IMF ปรับลด GDP Growth โลกครั้งที่ 3 ของปีนี้ คือ คาดปี 2562-2563 ขยายตัว 3.2% และ 3.5% ลดลงจากรอบ เม.ย. คาด 3.3% และ 3.6% ตามลำดับ และ ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ล่าสุด เช้านี้เกาหลีเหนือได้ยิงจรวดจำนวน 2 ลูก ยิงตกลงสู่บริเวณน่านน้ำใกล้เขตเศรษฐกิจพิเศษของญี่ปุ่น (EEZ)
โดยรวมราคาน้ำมันดูไบ ล่าสุดราคาปิดเมื่อวาน 60.82 เหรียญฯ เฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 64.2 เหรียญฯ แต่ยังสูงกว่าสมมติฐานที่ ASPS คาด 60 เหรียญฯ ในปี 2562 และนับจากปี 2563 เป็นต้นไปคาดที่ 65 เหรียญฯ โดยกลยุทธ์การลงทุนหุ้นพลังงาน-โรงกลั่นระยะสั้น เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังมีโอกาสอ่อนตัว และผลประกอบการงวด 2Q62 คาดอ่อนตัวจากงวดก่อนหน้า เนื่องจากจะมีการบันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน Stock loss ทำให้ยังคงแนะนำชะลอการลงทุนออกไปก่อน
คาดกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย 2Q62 อ่อนตัว QoQ และ YoY
คาดผลการดำเนินงานงวด 2Q62 ของกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย จะชะลอตัวลงทั้ง YoY และ QoQ และเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ เนื่องจากในงวด 1Q62 ได้เกิดปรากฎการณ์การเร่งขาย-โอนฯ รวมถึงการเร่งระบายสต็อกบ้านพร้อมอยู่ของผู้ประกอบการ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการ LTV ใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย.62 อีกทั้งงวดนี้ กลุ่มฯ ต้องการบันทึกค่าใช้จ่ายพนักงานตาม พรบ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่เพิ่มอีกราว 370 ล้านบาท
โดยวันนี้ นักวิเคราะห์กลุ่มฯ ได้มีการปรับลดประมาณการกำไร LPN ลงจากเดิม 9% มาอยู่ที่ 1.38 พันล้านบาท (ทรงตัวจากปี 2561) ผ่านการปรับลดคาดการณ์ยอดโอนฯ ปีนี้ลง (ลดลง 11.5% อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ) ตามการลดเปิดโครงการใหม่และเป้า Presale ที่ลดลง ทำให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ลดลงมาอยู่ที่ 7.5 บาท (เดิม 8.20 บาท) และลดคำแนะนำเป็น Switch
ในส่วนของผู้ประกอบการอื่นๆ ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่าง Preview แต่หากพิจาณาราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี เช่น ORI ปรับขึ้นมาแล้วกว่า 43%, PSH +28.9%, SPALI +29.7% จนราคาเต็มมูลค่าพื้นฐานแล้ว หากต้องการลงทุนหุ้นในกลุ่มฯ อาจต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น
นำหุ้น TTCL และ EASTW เข้าพอร์ตจำลอง แทนหุ้นที่เริ่มเต็มมูลค่าพื้นฐาน
พอร์ตจำลองที่บริหารโดยทีมวิจัย ASPS ยังคงทำผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 16.69%(ytd) ขณะที่ SET Index ให้ผลตอบแทน 10.33% และหากพิจารณาผลตอบแทนเป็นรายเดือน พบว่า พอร์ตจำลองชนะตลาดฯ ถึง 6 ใน 7 เดือน ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่สูงสม่ำเสมอ และเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
เปรียบเทียบผลตอบแทน Portfolio ASPS กับ SET Index (ytd)
ที่มา Morningstar, ฝ่ายวิจัย ASPS
นอกจากนี้หากนำพอร์ตจำลองที่บริหารโดยทีมวิจัย ASP มาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับกองทุนรวมในประเทศ พบว่า ให้ผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับที่ 8 จากกองทุนรวมหุ้นทั้งหมด 330 กองทุน
เปรียบเทียบผลตอบแทน(ytd) ของกองทุนในประเทศไทย กับ SET Index (ytd)
ที่มา Morningstar, ฝ่ายวิจัย ASPS
ส่วนวันนี้การปรับพอร์ตจำลองสัดส่วน 25% โดยแนะนำขายทำกำไรหุ้นที่เริ่มเต็มมูลค่าพื้นฐาน อย่าง KKP และ M แล้วลงทุนให้หุ้นผลประกอบการดี มี Story หนุน ที่ฝ่ายวิจัยฯมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรในช่วงที่ผ่านมา อย่าง EASTW และ TTCL สัดส่วน 15% และ 10% ตามลำดับ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
EASTW (ซื้อ : [email protected]) ปรับเพิ่ม FV เป็น 15.2 บาท (เดิม 13.5 บาท) จากการเพิ่มประมาณการสะท้อนทั้งโครงการขายน้ำอุตสาหกรรมใหม่ 2 โครงการที่เซ็นต์สัญญาแล้ว คือ โครงการขายน้ำอุตสาหกรรมให้นิคมฯอมตะซิตี้ จ.ระยอง (COD 2564) และโรงไฟฟ้า IPP GPD ของ GULF (COD 2565) เป็นต้น และการปรับสูตรราคาขายน้ำมันดิบใหม่ นอกจากนี้ระยะสั้นลุ้นผลบวกจากภัยแล้งซึ่งล่าสุดปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆลดลงต่อเนื่อง และหากสถานการณ์รุนแรงขึ้นคาดจะหนุนให้ปริมาณขายทั้งน้ำดิบและน้ำประปาเพิ่มขึ้นแบบในอดีตและมากกว่าที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้อย่างอนุรักษ์นิยม
TTCL(ซื้อ : [email protected]) คาดการณ์กำไร 2Q62 โดดเด่นอย่างมาก อยู่ที่ 532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110%QoQ จากการรับรู้รายได้ที่มากขึ้นจากโครงการหลัก รวมถึงได้รับกำไรพิเศษขายเงินลงทุนโรงไฟฟ้า TTGP ออกไป 60% ช่วงปลายเดือน พ.ค. 62 ราว 21 ล้านเหรียญ การขายเงินลงทุน TTGP ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัท โดยอัตราส่วน Net Gearing สิ้น 2Q62 ลงมาจาก 2.33 เท่าใน 1Q62 เหลือเพียง 1.27 เท่า และยังมี Story ดีๆที่มีให้ลุ้นตลอดทั้งปี หลักๆ คือ การเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า Ahlone เฟส 2 กับรัฐบาลเมียนมาร์ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 3Q62 ช่วยเพิ่ม Backlog ให้กับ TTCL ได้ถึง 480 ล้านเหรียญฯ ประเด็นทั้งหมดหนุนพื้นฐานธุรกิจฟื้นตัวชัดเจน และมีฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ฝ่ายวิจัยฯปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้ขึ้น 136% และเพิ่มราคาเหมาะสมจาก 10 บาท เป็น 12.50 บาท
ดังนั้นหากท่านเป็นลูกค้าของ ASPS และมีการติดตาม บทวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าท่านจะได้รับผลตอบแทนที่น่าพอใจ และหวังว่าท่านจะได้รับผลตอบแทนที่ดียิ่งๆขึ้น
ภรณี ทองเย็น, CISA
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ