WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

logo aceบล.เออีซี : Daily Focus
 
AECS Daily Focus
-------------
Market Outlook
•    วันนี้เราคาด SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ1,720-1,735จุด โดยคาดเห็นแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการของภาครัฐฯ ซึ่งจะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ 
•    Market Factor
•    (+) ดัชนี S&P500 และ DJIA วานนี้ปิดบวก 0.68%DoDและ 0.65%DoD ตามลำดับหลังสัปดาห์หน้าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ นายโรเบิร์ตไลท์ไฮเซอร์ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ จะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนส่งผลบวกต่อsentiment ตลาดหุ้นต่างประเทศ
•    (-) IMF ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้ลง สู่ระดับ 3.2% ถือเป็นการปรับลดครั้งที่สองจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน ม.ค. และ เม.ย.ที่ระดับการขยายตัว 3.5% และ 3.3% ตามลำดับมองมีความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้า และเทคโนโลยี ที่กระทบต่อความเชื่อมั่น และทำให้การลงทุนชะลอตัว (อินโฟเควสท์)
•    (-) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เผยตัวเลขการยื่นจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือน มิ.ย.62 อยู่ที่5,586 ราย คิดเป็นมูลค่า 15,147 ลบ.ลดลง57%MoM และ 38%YoY แต่อย่างไรก็ดี ช่วง 1H62 ตัวเลขรวมอยู่ที่ 38,222 รายเพิ่มขึ้นราว 2%YoY โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป (อินโฟวเควสท์)
•    (-) Consensus ปรับลดประมาณการ EPS โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus พบว่าเมื่อต้นปี EPS ปี 62 ที่ 115.14 บาท ขณะที่ปัจจุบันเหลือเพียง 104.57บาท หรือลดลง 9.18% Year To Date
•         Update Flow เมื่อวานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 1,720.68 ลบ.ส่งผลภาพรวม MTD ต่างชาติซื้อสุทธิรวม 22,710.65 ลบ. 
•    Investment Strategy
•    สัปดาห์นี้เราประเมินการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index มีโอกาส Sideway-Up ในกรอบ 1,720-1,750 จุด โดยมีแรงหนุนหลักจากแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯ หลังช่วงวันหยุดที่ผ่านมามีการเปิดเผยคำแถลงต่อสภาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 25 ก.ค. ที่พูดถึงนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง ซึ่งคาดจะมีรายละเอียดในการดำเนินนโยบายมากขึ้นในภายหลัง ขณะที่ทิศทางของ Fund Flow คาดกลับมาผันผวน หลัง 10Yr- Thai Bond Yield ปรับลงสู่ 1.910% ต่ำกว่า 10Yr US Bond Yield ที่ 2.053% กอปรกับปัจจุบันซื้อขายด้วย PER ที่สูงราว 18.7x ทำให้ตลาดไทยมีความน่าสนใจลดลง นอกจากนี้ยังคาดนักลงทุนส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างติดตามทิศทางการประชุม Fed ในวันที่ 30-31 ก.ค. นี้ (Bloomberg Consensus คาดมีโอกาส 81.5% ที่จะลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือน ก.ค. และคาดปี 62 มีโอกาส 44.3% ที่จะลดดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้ง) ดังนั้นเราจึงยังคงแนะนำลงทุนในหุ้นหลัก 2 กลุ่ม ดังนี้ 
•    หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นศก.ของรัฐฯ: จากภาวะศก.ที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนทำให้เรามองว่า ครม. ชุดใหม่ที่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการวานนี้มีโอกาสสูงที่จะเร่งออกนโยบายกระตุ้นศก. ในระยะสั้นเพื่อพยุงศก. เราจึงแนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวที่ยังมี Upside น่าสนใจ ได้แก่ BJC (ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัว HoH จากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขาและสาขาที่กัมพูชา 1 สาขา BigC Food Place 1 สาขา และ Mini BigC ราว 200 สาขา), SEAFCO (ช่วง 2Q62 คาดโต5.4%YoY ด้วยงานก่อสร้างที่รับรู้สูงกว่าปีก่อนเราปรับเพิ่มประมาณการหลังได้รับงานใหม่ขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท)  DCC (คาดปี 62 โต YoY หนุนด้วยกำลังผลิต และต้นทุนกระเบื้องดีขึ้นจาก Economy of scale หลังเข้าบริหารและถือหุ้น RCI อีกทั้งตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้เพิ่มอีก 5 สาขาพร้อมปรับ Business  Model แบ่งพื้นที่สาขาให้ธรุกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่าเพื่อเพิ่มช่องทางรับรู้ราย ได้แก่บริษัท นอกจากนี้ยังซื้อขายที่ PER15.2X ถูกกว่าทั้ง GLOBAL และ HMPRO) และ ROBINS (แม้ช่วง 2Q62 คาดกำไรหดทั้ง QoQ และ YoY หลังเผชิญ SSSG ที่คาดติดลบราว 0.5-1% แต่คาดราคาหุ้นปรับลงมาเพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าวแล้วและคาดกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะยังโต HoH และโต YoYหนุนด้วยช่วง 4Q62 เป็นช่วง High Season และมีการกลับมาเปิดของ 3 สาขาที่ปิดปรับปรุง)
•    กลุ่ม Defensive Stock: ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ ASK (คาดผลดำเนินงานมีโตต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง2Q62 หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯ ที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.) และ LH (คาดได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่จำกัดเนื่อง จากมีสัดส่วนโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดราว 2-3 เท่าบวกกับมีกำไรจากการลงทุนใน HMPRO, QH และ LHFG ที่โตต่อเนื่อง หนุนคาดผลการดำเนินทั้งปีโตYoYและคาดมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานช่วง1H62 คิดเป็น 3.2-3.6% ต่อปี)
 
    23-Jul-19    Change (pts.)    22-Jul-19
SET Index    1,724.87    -2.71    1,727.58
SET50 Index    1,139.56    -1.11    1,140.67
SET100 Index    2,527.19    -3.68    2,530.87
 
High    1,732.69    Gainers         590 
Low    1,719.93    Unchanged    542
Value (Bt m)    62,139.10    Losers   888 
Volume (*000)    20,754,935          
 
Market Valuation
SET Data    2018F    2019F    Long Term
Fwd PER (x)    16.5    15.0    15.0
EPS Growth (%)    13.9    9.3    2.9
EV/EBITDA (x)    11.1    10.3    9.8
FWD PBV (x)    1.9    1.8    1.7
Dividend Yield (%)    3.0    3.3    3.5
ROE    11.2    11.4    11.3
 
Net Buy/Sell by Investor Types
Unit : M Bt    23-Jul-19    WTD    MTD    YTD
Institution    (1,736.52)    (5,284.70)    (25,260.67)    (1,873.21)
Proprietary    (302.05)    406.18    1,900.09    19,578.03
Foreign     1,720.68    3,902.66    22,710.64    63,359.84
Individual    317.89    975.86    649.94    (81,064.65)
 
AECS ( Fundamental and Strategic Team )
 
จิรภัทร  โบสุวรรณ (ID. 040051)    [email protected]
ตฤณ  สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364)    [email protected]
ภัทรพล จันทร์อินทร์ (ID. 089932)    [email protected]
ธีรยุทธ  ฤทธิเผ่าพันธุ์    ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์    Data Support / Secretary
 
 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!