- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 22 July 2019 16:18
- Hits: 2961
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ลบ-คาดเฟดลด0.25% แต่น้ำมันขึ้น-นโยบายเศรษฐกิจ
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : -ไม่มี-
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วันศุกร์ +11.66 จุด ปิดที่ 1735.10 จุด มูลค่าการการซื้อขายมากขึ้นที่ 61.9 พันล้านบาท ดัชนีฯเพิ่มสอดคล้องกับเพื่อนบ้าน ปัจจัยบวกคือ เฟดนิวยอร์กมีถ้อยแถลงสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย และฟิทช์ปรับแนวโน้มไทยเพิ่มเป็น “บวก” จากเดิม “มีเสถียรภาพ” ผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 2.0 พันล้านบาท ส่วนซื้อเล็กน้อยคือโบรกเกอร์ ขายสุทธิเป็นรายย่อย 1.7 พันล้านบาท ขายเล็กน้อยคือต่างชาติตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติเป็นซื้อสุทธิเป็น 59.5 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ปัจจัยสำคัญ: บวกลบ ชดเชยกัน ปัจจัยลบคือ เริ่มกังวลเฟดลดดอกเบี้ยแค่ 0.25% จากที่คาด 0.50% งบ 2Q62 ไทยไม่สดใส บาทอ่อนค่า ภัยแล้งไทย ดัชนีความกังวลเพิ่มขึ้น 14.45 จุด ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้แกว่งแคบ ส่วนใหญ่ปรับลง แต่ข่าวบวกมาชดเชย ราคาน้ำม้นปรับขึ้นตามข่าวอิหร่านยึดเรือน้ำมันอังกฤษ ดาวโจนส์-น้ำมันล่วงหน้าเช้านี้ปรับขึ้นได้ สำหรับปัจจัยบวกในประเทศคือ ติดตามมูดี้ส์หลังฟิทช์ปรับขึ้นอันดับให้ไทยนโยบายรัฐบาลใหม่ ทบทวนค่าโดยสาร รถไฟฟ้า ทางด่วน ปรับลดอัตราภาษีเงินได้ 10%
# ระยะสั้นคาด SET มีโอกาส Sideways กลยุทธ์ คือ การเก็งกำไร เข้าไว-ออกไว เพราะยังวางใจไม่ได้ แนวต้านเป็น 1730-1740 จุด แนวรับที่ 1710-1700 จุด สำหรับการลงทุนทยอยซื้อสะสม เป้าหมายดัชนีระยะยาวเป็น 1750 จุด ด้วย P/E ที่ 17.4 เท่า (Median+1 SD) หลังจัดตั้งครม.ประยุทธ์ 2 สำเร็จ มีโอกาสจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แถลงนโยบาย 25 ก.ค.นี้ กลุ่มหลักทรัพย์ที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะนำ ซื้อเก็งกำไรดังนี้ พาณิชย์- CPALL, BJC รับเหมาก่อสร้าง- CK, STEC,SEAFCO นิคมฯ-AMATA, ROJNA, WHA ท่องเที่ยว-MINT ขนส่ง AOT สื่อสาร- ADVANC,JAS ไฟแนนซ์- KKP, MTC, TISCO, TCAP และสื่อ- VGI
# Stock Pick Today : AIMIRT คาดกองทุนฯจ่ายปันผลได้สูงขึ้นหลังซื้อสินทรัพย์เข้ากองทุนรอบใหม่ คาดการณ์เงินปันผลต่อหน่วยสูงปี 62 ที่0.77 บาท/หน่วย คิดเป็น Dividend yield ปีนี้ 6.1% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 6.7% ในปี 63 และเป็น 6.8% ในปี 64 สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมได้รับการจัดสรรในสัดส่วน 1 : 0.875 ที่ราคาหุ้นละ 11.20-11.50 บาท ระยะเวลาจองซื้อ 30 ก.ค.-1 ส.ค.2562 การซื้อสินทรัพย์ใหม่มีมูลค่าประมาณ 4.2พันล้านบาท ใช้เงินจากการเพิ่มทุน 71% และกู้ 29% คงคำแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานเป็น 14.30 บาท (DCF)
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เปลี่ยนกลับมาเป็นบวก แต่ก็เป็นบวกที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นลบตามมา{“ปิดบวก”เหนือ“SMA10วัน”อีกครั้ง (โดยยังถูกกดดันจาก“สภาวะ Overbought”เดิม,ที่มีระดับนัยสำคัญ และ“โครงสร้างขาลง –ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯสัปดาห์“แกว่ง”แบบมีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1740 (หรือ 1750)จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1725” (แนวรับย่อย “1710 / 1700” จุด)}
สำหรับหุ้นที่มีโอกาสทำ New High เข้ามาใหม่คือ SCCC,WHA,GUNKUL,MINT,BJC,TQM หุ้นที่ยังอยู่ในลิสต์ คือNOBLE,RJH,NER,ECL,BAFS,COM7,JMT,DTAC,RATCH หุ้นที่หลุดลิสต์ คือ ไม่มี หุ้นที่ควร Take Profit คือ TU,PLANB,UTP
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Flash Note : TCAP (ถือ -ราคาพื้นฐาน59.50 )
KBANK (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 270)
UV (ซื้อเก็งกำไร -ราคาพื้นฐาน 8.59)
In The News : JAS (NR -ราคาพื้นฐาน NR)
ข่าวเด่นวันนี้
Turnover List Watch : MACO-W2 ติด Cash Balance เริ่มใช้สัปดาห์นี้
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- เฟด: กังวลลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% การประชุมปลายเดือนนี้ แทนที่จะเป็น 0.50%
# เจ้าหน้าเฟดหลายรายบ่งชี้ว่า พวกเขาพร้อมที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมนโยบายในวันที่ 30-31ก.ค.นี้ แต่พวกเขาไม่ได้เตรียมที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงถึง 0.5%
# เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group ล่าสุดบ่งชี้ว่า มีโอกาสเพียง 22.5% ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50%ในการประชุมสิ้นเดือนนี้
-/+ ความตึงเครียดตะวันออกกลาง: อิหร่านยึดเรือบรรทุกน้ำมันอังกฤษ
# อิหร่านได้เข้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันลำหนึ่งของอังกฤษ ขณะแล่นเข้าสู่น่านน้ำของอิหร่าน โดยรัฐบาลอังกฤษแถลงว่า ทางรัฐบาลกำลังตรวจสอบรายงานดังกล่าว
# ข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับความตึงเครียดในตะวันออกลาง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์
ทรัมป์แห่งสหรัฐยืนยันเมื่อวันพฤหัสบดีว่า กองทัพเรือของสหรัฐยิงโดรนลำหนึ่งของอิหร่านตกในช่องแคบฮอร์มุซ
# ผลกระทบ: ราคาน้ำมันที่สูงมีผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก ทั้งด้านการเติบโตและเงินเฟ้อ แต่ในแง่ตลาดหุ้น ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น จะส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มพลังงาน
•/- เจรจาการค้า: ยังอยู่ในช่วงการเจรจา อเมริกามีความเสี่ยงไม่สามารถชำระหนี้
# นักลงทุนจะยังคงมุ่งความสนใจไปที่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งยังไม่มีความคืบหน้า รวมถึงการที่รัฐบาลสหรัฐและสภาคองเกรสกำลังร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐแสดงความเชื่อมั่นว่า ทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
# นายมนูชินเตือนว่า กระทรวงการคลังมีงบประมาณสำหรับการบริหารประเทศอีกเพียง 2 เดือน จนถึงเดือนก.ย. ซึ่งอาจจะทำให้รัฐบาลไม่สามารถชำระหนี้จำนวน 22 ล้านล้านดอลลาร์ และจะเป็นเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก
+/- สหรัฐ: ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ค.เพิ่ม m-o-m แต่ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาด
# สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะระดับ 98.4 ในเดือนก.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 98.5 จากระดับ 98.2ในเดือนมิ.ย.
- ดาวโจนส์: ปรับลง กังวลเฟดลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,154.20 จุด ลดลง 68.77 จุด หรือ -0.25% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,976.61 จุด ลดลง 18.50 จุด หรือ -0.62% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,146.49 จุด ลดลง 60.75 จุด หรือ -0.74%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ค.) โดยตลาดลดช่วงบวกลงหลังจากมีข่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.25% มากกว่าที่จะปรับลดลง 0.5% ในช่วงสิ้นเดือนนี้ นอกจากนี้ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า อิหร่านได้เข้ายึดเรือบรรทุกน้ำมันลำหนึ่งของอังกฤษ ขณะแล่นเข้าสู่น่านน้ำของอิหร่าน
+ น้ำมัน: ปรับขึ้น ผลจากความตึงเครียดตะวันออกกลาง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. บวก 33 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 55.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 62.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ค.) ท่ามกลางความวิตกครั้งใหม่เกี่ยวกับความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันดิบ และช่วยหนุนราคาน้ำมัน
• ทองคำ: ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 1.40 ดอลลาร์ หรือ 0.1% ปิดที่1,426.70 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อวันศุกร์ (19 ก.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ ฟิทช์ ปรับเพิ่มมุมมองเครดิตให้ไทยเป็น “บวก”
# รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในการออกตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะยาวจากระดับ"มีเสถียรภาพ (Stable outlook)" เป็น"เชิงบวก (Positive outlook)" และคงอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในการออกตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะยาวที่ระดับ BBB+ ตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะสั้นที่ระดับ F1 และเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Country Ceiling) ที่ระดับ A-
# ประเทศไทยได้รับการปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ เป็นผลมาจากปัจจัยหลักกล่าวคือ Fitch มีความเชื่อมั่นเพิ่มมากขึ้นว่าความเสี่ยงทางการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารเศรษฐกิจมหภาค โดยสะท้อนจากความเข้มแข็งทางการเงินภาคต่างประเทศ (External Finance) และภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้ประเทศไม่อ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงิน ในขณะที่ปัญหาทางการเมืองที่สำคัญได้รับการแก้ไขภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ระดับความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงมีอยู่โดยขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของรัฐบาลผสม
• ติดตามกระทรวงพาณิชย์แถลงภาวะการค้าไทย มิ.ย.62 ในสัปดาห์นี้
# สัปดาห์นี้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ แถลง"ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนมิถุนายน 2562"
+ รัฐบาลมีแนวคิดจัดตั้ง ครม.เศรษฐกิจ เพื่อสร้างความมั่นใจให้เอกชน
# นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีถึงแนวคิดรื้อฟื้นการจัดตั้ง ครม. เศรษฐกิจให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยไม่จำเป็นต้องประชุมทุกสัปดาห์ แต่อาจประชุมในช่วงที่มีวาระสำคัญพิเศษ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ เนื่องจากในขณะนี้ภาคเอกชน ยังมีความไม่เชื่อมั่นจากรัฐบาลผสม ที่มาจากหลากหลายพรรคการเมือง ซึ่งการมี ครม. เศรษฐกิจ ตรงนี้จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทางเดียวกัน
+ รายงานเผยบริษัทต่างชาติกว่า 50 รายแห่ย้ายฐานการผลิตจากจีน หนีผลกระทบสงครามการค้า
# เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียน รีวิวรายงานว่า อัตราการย้ายฐานการผลิตของบริษัทต่างๆ ออกจากจีนกำลังขยายตัวขึ้น ขณะที่บริษัทข้ามชาติมากกว่า 50 แห่งตั้งแต่แอปเปิล ไปจนถึงนินเทนโด และ เดลล์ กำลังรีบย้ายการผลิตออกจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงการกำหนดภาษีนำเข้าของสหรัฐ (Aspen)
# ผลกระทบ: เป็นบวกกับหลักทรัพย์กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมไทย มีข่าวว่าบริษัทไซหลุนซึ่งเป็นบริษัทผลิตยางรถยนต์ของจีนก็กำลังย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย แม้ไทยถูกมองว่าแนวโน้มการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นอุปสรรค แต่ไทยเน้นการลงทุนจากนักลงทุนที่ผลิตสินค้าไฮเท็คและมีมูลค่าเพิ่ม จึงเป็นลบน้อยลง คงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ AMATA,ROJNA และ WHA
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]