- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 02 April 2019 16:07
- Hits: 2319
บล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจฟื้นตัวระยะสั้น ตามตลาดต่างประเทศ หลังดัชนีชี้นำเศรษฐกิจจีน-สหรัฐ เริ่มดูดีขึ้น แต่ปัจจัยกดดันยังมาจากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล กดดัน Fund Flow และตลาดจะเพิ่ม NVDR ให้ Short Sale ได้ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อหุ้นรายตัวที่ต่างชาติถือผ่าน NVDR Top Picks เลือก MTC(FV@B57) และ JMT(FV@B 17.5) กระทบน้อยหาก ธปท. ควบคุมสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ … SET Index บวกตามตลาดหุ้นในภูมิภาค
วานนี้ตลาดหุ้นไทยได้รับ sentiment เชิงบวกตามตลาดต่างประเทศ หลังดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะ PMI ภาคการผลิต ล่าสุดดีกว่าตลาดคาด หนุนตลาดหุ้นในภูมิภาคเคลื่อนไหวในแดนบวก และเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย สามารถทะลุแนวต้าน 1640 จุด ขึ้นมาปิดที่ระดับ 1644.64 จุด เพิ่มขึ้น 5.99 จุด (0.37%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.4 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นที่หนุนดัชนีคือ กลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP) กลุ่ม ICT (ADVANC TRUE DTAC) รวมถึงกลุ่มอสังหาฯ (LH SPALI AP) ตรงข้ามยังมีแรงขาย กลุ่ม ธ.พ. บางแห่ง อย่าง SCB (-1.52%) จากการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ของ MSCI สำหรับกลุ่มการเงิน-ธนาคาร อีกหุ้นที่มีแรงขายทำกำไรออกมาคือ VGI (-2.76%) หลังจากตลาดฯ ตอบรับประเด็นบวกจาก synergy ใหม่ที่จะได้จาก PLANB แล้ว
ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้น ต่อเนื่องจากวานนี้ หลังตลาดหุ้นทั่วโลกผ่อนคลายลง เมื่อดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสำคัญ จาก จีน-สหรัฐ เริ่มมีสัญญานที่ดูดีขึ้นกว่าคาด แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยกดดันยังมาจากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลของไทย ซึ่งถือเป็นปัจจัย กดดัน Fund Flow และอีกประเด็นคือ ตลาดฯ จะเพิ่ม NVDR ให้ Short Sell ได้ เท่ากับสร้างแรงกดดันต่อหุ้นรายตัว ที่ต่างชาติถือผ่าน NVDR สูงๆ เช่น BBL กลยุทธ์แนะนำให้สะสมหุ้นน้ำมัน (PTTEP, PTT)หรือ หุ้นที่มีความผันผวนน้อย (EASTW, DCC) หรือ หุ้นที่เติบโตจากความสามารถในการบริหารหนี้เสีย คือ JMT หรือหุ้นที่กระทบ หาก ธปท. คุมสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ … SET Index บวกตามตลาดหุ้นในภูมิภาค
วานนี้ตลาดหุ้นไทยได้รับ sentiment เชิงบวกตามตลาดต่างประเทศ หลังดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะ PMI ภาคการผลิต ล่าสุดดีกว่าตลาดคาด หนุนตลาดหุ้นในภูมิภาคเคลื่อนไหวในแดนบวก และเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย สามารถทะลุแนวต้าน 1640 จุด ขึ้นมาปิดที่ระดับ 1644.64 จุด เพิ่มขึ้น 5.99 จุด (0.37%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.4 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นที่หนุนดัชนีคือ กลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP) กลุ่ม ICT (ADVANC TRUE DTAC) รวมถึงกลุ่มอสังหาฯ (LH SPALI AP) ตรงข้ามยังมีแรงขาย กลุ่ม ธ.พ. บางแห่ง อย่าง SCB (-1.52%) จากการปรับเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ของ MSCI สำหรับกลุ่มการเงิน-ธนาคาร อีกหุ้นที่มีแรงขายทำกำไรออกมาคือ VGI (-2.76%) หลังจากตลาดฯ ตอบรับประเด็นบวกจาก synergy ใหม่ที่จะได้จาก PLANB แล้ว
ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้น ต่อเนื่องจากวานนี้ หลังตลาดหุ้นทั่วโลกผ่อนคลายลง เมื่อดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสำคัญ จาก จีน-สหรัฐ เริ่มมีสัญญานที่ดูดีขึ้นกว่าคาด แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยกดดันยังมาจากความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลของไทย ซึ่งถือเป็นปัจจัย กดดัน Fund Flow และอีกประเด็นคือ ตลาดฯ จะเพิ่ม NVDR ให้ Short Sell ได้ เท่ากับสร้างแรงกดดันต่อหุ้นรายตัว ที่ต่างชาติถือผ่าน NVDR สูงๆ เช่น BBL กลยุทธ์แนะนำให้สะสมหุ้นน้ำมัน (PTTEP, PTT)หรือ หุ้นที่มีความผันผวนน้อย (EASTW, DCC) หรือ หุ้นที่เติบโตจากความสามารถในการบริหารหนี้เสีย คือ JMT หรือหุ้นที่กระทบ หาก ธปท. คุมสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
น้ำมันดูไบมีแนวโน้มขึ้นแตะ 70 เหรียญฯ สะสม PTTEP, PTT, PTTGC
วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลกฟื้นตัวแรง หลังจาก ดัชนีชี้น้ำเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ของสหรัฐและจีน เริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง คือ PMI ภาคการผลิตสหรัฐ (สำรวจโดยสถาบัน ISM) เดือน มี.ค. เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดที่ 55.3 จุด และฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 4 เดือนที่ 54.2 จุด ในเดือน ก.พ. สอดคล้องกับ PMI ภาคการผลิตของจีนในเดือนเดียวกัน ฟื้นตัวในรอบ 8 เดือนที่ระดับ 50.5 จุด จาก 49.5 จุด หลังจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเหล่านี้ ชะลอลงต่อเนื่องจาก ผลของสงครามการค้านับจากกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 ประเทศคือ ผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลก คือ สหรัฐบริโภคมากสุด รองลงมาคือ จีน (ดังตารางด้านล่าง)
การบริโภคน้ำมันรายประเทศทั่วโลก
ขณะที่ฝั่ง Supply การตัดลดกำลังการผลิตยังเป็นไปตามแผน และมีแนวโน้มจะยืดการตัด Supply ออกไปจนถึงสิ้นปี จากเดิมที่กำหนดไว้กลางปี 2562 (ตามข้อตกลง OPEC และ Non OPEC ทำสัญญาล่าสุด ธ.ค. 2561 จะตัดลดการผลิตถึงกลางปี 2562 ที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็น OPEC ตัดลด 8 แสนบาร์เรล/วัน ขณะที่ Non OPEC ลดลง 4 แสนบาร์เรล/วัน)
โดยรวมทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบยังทรงตัวในระดับสูงที่ราว 68.8 เหรียญฯต่อบาร์เรล สูงกว่าสมมติฐานของ ASPS ที่กำหนดไว้ 65 เหรียญ ในปี 2562 และคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวบริเวณ 70 เหรียญฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ (และกำหนด 70 เหรียญฯนับจากปี 2563 เป็นต้นไป) แนะนำสะสมหุ้นน้ำมัน PTTEP(FV@B178), PTT(FV@B56) และ PTTGC(FV@B79) ประกอบกับเป็นหุ้นที่ถูก Short Sale สูงตั้งแต่ต้นปี จึงคาดว่ามีโอกาสที่ราคาจะฟื้นตัวจากการ Cover Short ได้
น้ำมันหนุนเงินเฟ้อไทย ขยับขึ้นตามดอกเบี้ยนโยบาย
วานนี้กระทรวงพาณิชย์รายงานเงินเฟ้อไทยเดือน มี.ค. เพิ่ม 1.24%yoy ก้าวกระโดดจาก 0.73% ในเดือน ก.พ. ทั้งนี้เพราะราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว (ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน) และราคาสินค้ากลุ่มอาหารสดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว-แป้งเพิ่มขึ้น 4.58%, เนื้อสัตว์ 4.7%, ผักผลไม้ 2.77% เป็นต้น โดยรวมส่งผลให้เงินเฟ้อไทยเฉลี่ยงวด 1Q62 ขยายตัว 0.74% ซึ่งต่ำกว่าสมมติฐานที่ ASPS ประเมินค่าเฉลี่ยทั้งปี 2562 ที่ 1.5% (ขณะที่สิ้นปี 2562 จะสูงราว 1.7%) ภายใต้สมมติฐานน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2562 65 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงตลาด
เงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย 1.75% และยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ชะลอ, เศรษฐกิจโลก รวมถึงสภาพคล่องในระบบยังสูง ล่าสุดเดือน ม.ค. 2562 อยู่ที่ระดับ 4.22 แสนล้านบาท จึงคาดว่า กนง. น่าจะยืนดอกเบี้ยนโยบายที่เดิมในการประชุมที่เหลือของปีนี้ หลังจากได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 1 ครั้ง 0.25% เป็น 1.75% เมื่อปลายปี 2561 ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้านที่เริ่มหันมาใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่กระทบจากสงครามการค้าในช่วงที่ผ่านมา
แบงค์ชาติเตรียมคุมสินเชื่อเช่าซื้อ กดดันหุ้น TISCO, KKP, TCAP
ด้วยภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2562 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2561 และ กังวลต่อหนี้ภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับ GDP จึงทำให้ ธปท. มีนโยบายควบคุมการก่อหนี้ครัวเรือนใหม่ ๆ โดยเฉพาะล่าสุด ได้ออกเกณฑ์เรื่อง Loan to Value (LTV) ใหม่ ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 หรือที่อยู่อาศัยราคาเกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้เงินได้ไม่เกิน 80% ของราคาที่อยู่อาศัย ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วในวานนี้ (1 เม.ย.62) แล้ว ธปท. ยังแสดงความกังวลถึงความเสี่ยงของสินเชื่อรถยนต์ หลังเริ่มเห็นการปล่อยสินเชื่อเติบโตขึ้นอย่างมีนัยฯ ขณะที่การแข่งขันการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใหม่รุนแรง โดยเฉพาะการกำหนดเงินดาวน์ต่ำ หรือการปล่อยสินเชื่อเกินราคารถยนต์ เป็นต้น
ทั้งนี้แม้พิจารณาอัตราส่วนหนี้ที่มีปัญหา ต่อสินเชื่อรวม (NPL/Loans) ของสินเชื่อรถยนต์ จะต่ำ 1%เศษ แต่หากพิจารณายอดหนี้สินเชื่อรถยนต์ที่ค้าง 1-3 เดือน (Special mention) กลับสูงถึง 7% แต่นั่นเป็นเพราะพฤติกรรมของผู้กู้จะมีการหยุดจ่ายเป็นช่วงๆ เพราะเกณฑ์การยึดรถยนต์ บริษัทผู้ให้กู้ต้องแจ้งล่วงหน้า 1 เดือนก่อนยึดรถยนต์ ดังนั้น ผู้กู้มักจะกลับมาจ่ายเงินกู้เมื่อ เดือนที่ 4 ประกอบกับรถยนต์เป็นสินทรัพย์สภาพคล่องที่สามารถขายทอดตลาดได้ง่ายและมักครอบคลุมมูลค่าหนี้ ทำให้ NPL และ การตั้งสำรองฯ จะไม่สูงเหมือนกับการปล่อยสินเชื่อทั่วไป ประเด็นนี้จึงไม่น่ากังวลนัก
การควบคุมสินเชื่อดังกล่าว อาจสร้าง sentiment เชิงลบต่อผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในปริมาณสูง อาทิ TCAP (สัดส่วนการปล่อยสินเชื่อ ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 56%), TISCO (สัดส่วน 52%) และ KKP (สัดส่วน 49%) แต่อย่างไรก็ตามคาดยอดขายรถยนต์ปี 2562 ที่ไม่ได้เติบโตมาก เนื่องจากฐานสูงในปี 2561 และนโยบายให้สินเชื่อที่แตกต่างกันโดยรวมจึงยังประเมินว่ายังไม่น่ากังวลนัก
ทางตรงกันข้ามน่าจะผลบวกต่อผู้ให้สินเชื่อทะเบียนรถยนต์ (MTC, SAWAD) ซึ่งหลังจาก ธปท. มีเกณฑ์ควบคุมแต่กระทบจำกัด จึงแนะนำให้ Switch จากหุ้นเช่าซื้อ ทั้ง TISCO, KKP, TCAP มายังหุ้น MTC (FV@B57) ซึ่งยังมี upside สูง เป็น Top pick รวมถึง JMT ([email protected]) ที่ยังคงได้ประโยชน์จากหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูง
Sentiment ลบระยะสั้น…ตลท.ให้ต่างชาติ Short Sell ผ่าน NVDR
ประเด็นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีการอนุญาติเพิ่มหลักทรัพย์ที่สามารถขายชอร์ต (short sale) นั่น คือ NVDR และ DR เพื่อให้นักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้น รวมถึงช่วยในการบริหารความเสี่ยง น่าจะกดดันหุ้นที่ขอบเขตในการซื้อเพิ่มจากต่างชาติที่จำกัด (ใกลัหรือเต็ม Foreign Limit) รวมถึงถือครองผ่าน NVDR เป็นจำนวนมากแล้ว
อย่างไรก็ตามทั้งรายละเอียดในการขายชอร์ตผ่าน NVDR ยังไม่ชัดเจน รวมถึงยังไม่ทราบวันที่มีผลบังคับใช้แน่ชัด แต่ในเบี้องต้นฝ่ายวิจัยฯทำการประเมินหาหุ้นในตลาดทั้งหมดว่ามีหุ้นใดบ้างที่ถูกถือครองผ่าน NVDR มากสุด 15 อันดับแรก พร้อมกับขอบเขตในการซื้อเพิ่มจากต่างชาติที่มีจำกัด ซึ่งคาดว่าจะมีความเสี่ยงจากการมีหุ้นให้ยืมขายชอร์ตมากขึ้น
หุ้นที่มีสัดส่วนการถือครองผ่าน NVDR มากสุด 15 อันดับแรก
ประเด็นดังกล่าวบวกกับสถานะการถือครองหุ้นไทยผ่าน NVDR กว่า 6.83% น่าจะเป็น Sentiment เชิงลบให้กับตลาดช่วงสั้นเท่านั้น เนื่องจากการลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วย และปัจจุบันทำธุรกรรม Short Sell ของต่างชาติมีขั้นตอนพอสมควร อีกทั้งยังมีความเสี่ยงขาดทุนจาก Spread อัตราแลกเปลี่ยนไปกลับในการซื้อขายหุ้นไทย
Bond Yield 10 ปี สหรัฐพุ่งขึ้น Fund Flow ไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง
หลังจากสหรัฐรายงานดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาดข้างต้น หนุนให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ของสหรัฐขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.5% (เพิ่มขึ้น 10 bps) และหนุนให้ Fund Flow ไหลกลับมาเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น ทำให้วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิตลาดหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 มูลค่ารวม 734 ล้านเหรียญ นำโดยตลาดหุ้นไต้หวัน 532 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามด้วยเกาหลีใต้ 215 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 1 ล้านเหรียญ ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนิเซียถูกสลับมาขาย 7 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) และตลาดหุ้นไทยที่ ต่างชาติขายสุทธิ 6 ล้านเหรียญ หรือ 194 ล้านบาท (สลับมาขายสุทธิเป็นวันแรก) สวนทางกับสถาบันฯ ซื้อสุทธิถึง 2.49 พันล้านบาท
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค