- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 29 March 2019 13:58
- Hits: 1558
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“บวกจากเจรจาการค้าคืบ-พันธบัตรยาวเพิ่ม-MSCI วันนี้”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วานนี้ +4.85 จุด ปิดที่ 1634.25 จุด มูลค่าการซื้อขายดีขึ้นที่ 48.1 พันล้านบาท ดัชนีบ้านเรา Sideways สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคแถบนี้ ตลาดฯโฟกัสไปที่ปัจจัยการเมือง หลังกกต.เปิดเผยผลการนับคะแนน 100% อย่างไม่เป็นทางการ และเก็งกำไรหุ้น MSCI ที่คาดว่าจะได้รับเพิ่มน้ำหนักรวมทั้งให้ความสำคัญปัจจัยต่างประเทศที่ดูเป็นลบน้อยลง ผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 0.23 พันลบ.และต่างชาติ 0.06 พันล้านบาท สำหรับผู้ขายสุทธิเป็นพอร์ตโบรกเกอร์0.25 พันลบ. และและนักลงทุนทั่วไป 0.04 พันล้านบาท ตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิแล้ว 14.4 พันล้านบาท ด้านแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ระยะสั้นคาด SET พลิกเป็นบวก จากการเจรจาการค้าที่ผลออกมาเบื้องต้นดี ลดกังวล Inverted Yield Curve หลังบอนด์ยิลด์ 10 ปีปรับขึ้น ดาวโจนส์ปรับขึ้น บาทแข็ง แต่ปัจจัยลบคือ น้ำมันปรับลงเล็กน้อย หลังทรัมป์เรียกร้อง ให้โอเป็กผลิตน้ำมันเพิ่ม ตัวเลข GDP 4Q สหรัฐต่ำคาด
# ตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน และดาวโจนส์ล่วงหน้าเช้านี้ปรับตัวขึ้นดี เป็นแรงสนับสนุน SET ในระยะสั้นด้วย
# วันนี้แล้วที่การเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยจาก MSCI จะประกาศ หลังนำ NVDR มาร่วมคำนวณ ติดตามว่าจะไปต่อ หรือขายเมื่อมีข่าวดีจริง รวมทั้งการปิดไตรมาส 1/62วันสุดท้ายยังจะมี Window Dressing หรือไม่ ยังต้องติดตามความคืบหน้าของ Brexit ที่ยังเป็นความเสี่ยง
# กลยุทธ์ คือ เก็งกำไรรอบสั้นแนวต้านเป็น 1640-1650 จุด แต่หากกลับมีแรงขาย แนวรับเป็น 1610,1600 จุด ไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนสูง หากดัชนีต่ำกว่า 1629จุด จะเป็นจุดตัดขาดทุนในระยะสั้น ด้านการซื้อลงทุนระยะกลาง ทยอยสะสม โดยมีดัชนีฯเป้าหมายทางพื้นฐานปี 2562 ยังเป็น 1750 จุด (+0.9 SD ที่ P/E 16.7เท่า) ด้วยคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของตลาดฯปี 62 ที่ +8% y-o-y แนะนำทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี หุ้น Top Pick ในงวด 1Q62 คือ AOT,BBL,CPALL,PTTและ WHA
หุ้นเด่น STEC : พรรคภูมิใจไทย ได้คะแนนดีเกินคาด เป็นจิตวิทยาทางบวก มีงานก่อสร้างในมือ (Backlog) เป็นจำนวนมาก ณ ปลาย พ.ย.61 เป็น 114 พันล้านบาท ช่วยทำให้รายได้มีความมั่นคงไปอีก 3-4 ปีข้างหน้า อีกทั้งมีโอกาสได้งานโรงไฟฟ้าที่จะเปิดประมูลอีกมากตามแผนระยะยาว PDP เพิ่มเป็น 56,431 MW จากปี61 ที่ 46,090 MW ซึ่งงานประเภทนี้ให้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงและ STEC ถือหุ้นใน GULF อยู่ 1.88% จึงมีโอกาสได้งานจาก GULF ด้วย คงคำแนะนำ ซื้อ จัดให้ STECเป็น Top Pick ในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ คิดเป็น 10 พันล้านบาท หรือ 6.60 บาทต่อหุ้น ณ สิ้นปี 61 แฝงอยู่ในราคาหุ้น กำหนดราคาพื้นฐานเป็น 31.00 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เปลี่ยนกลับเป็นบวกเล็กๆ {“ปิดบวก”เหนือ“SMA10วัน”(เล็กน้อย)อีกครั้ง (โดยถูกกดดันจาก“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบยังให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(แรงหนุนของ“SMA10วัน”) จะทำให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1640 (หรือ 1645 – 1650) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1630” (แนวรับย่อย “1610 / 1600”) จุด}
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ ADVANC,BGRIM,OSP,TPCH หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ GOLD,DCC,CPN,MBK,BPP,BEC,MEGA หุ้นที่หลุด List ไม่มี ส่วนหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ TTCL,KTB,RATCH,VGI
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Hot Issue ซ กลุ่มพลังงาน : เลือกซื้อเก็งกำไร...หุ้นเด่น PTTEP และ TOP
Company Guide : IVL (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 69.00)
Key Takeaways: PREB (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 12.74)
In The News : ข่าวเด่นวันนี้
Turnover List Watch : คาดไม่มีหลักทรัพย์ติด Cash Balance
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ: การเจรจาการค้าไปในทางบวก จีนได้ยื่นข้อเสนอที่ไม่เคยมีขึ้นมาก่อน
# การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีความคืบหน้าในทุกด้าน ขณะที่จีนได้ยื่นข้อเสนอที่ไม่เคยมีขึ้นมาก่อนเกี่ยวกับการถ่ายโอนเทคโนโลยี โดยการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าภายในสิ้นเดือนเม.ย.
# ทั้งนี้ คณะผู้แทนการค้าสหรัฐ ซึ่งนำโดยนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งของจีนเพื่อทำการเจรจาการค้ากับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน โดยการเจรจามีขึ้นในวันที่ 28-29 มี.ค. จากนั้นนายหลิว เหอ และคณะ จะเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันในสัปดาห์แรกของเดือนเม.ย. เพื่อหารือกับคณะเจรจาการค้าของสหรัฐ
+ สหรัฐ: ลดความกังวล Inverted Yield Curve หลัง พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น
# ตลาดได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.395% เมื่อคืนนี้ โดยก่อนหน้านี้ นักลงทุนมีความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งผลการศึกษาของบริษัท Bespoke พบว่า การเกิดภาวะ inverted yield curve ในตลาดพันธบัตร จะเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2533, 2544 และ 2550
+/- สหรัฐ : ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดมีทั้งบวกและลบ
# (+) กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ211,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
# (-) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการขั้นสุดท้ายสำหรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2561 โดยระบุว่า GDP ขยายตัวเพียง 2.2% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.4% และต่ำกว่าระดับ 2.6% ซึ่งมีการรายงานในเดือนก.พ.
# (-) สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย(pending home sales) ลดลง 1.0% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้น 0.7%
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดาวโจนส์ปรับขึ้น เจรจาการค้าไปทางบวก คลายความกังวล Inverted yield curve
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,717.46 จุด เพิ่มขึ้น 91.87 จุด หรือ +0.36% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,815.44 จุด เพิ่มขึ้น 10.07 จุด หรือ +0.36% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,669.17 จุด เพิ่มขึ้น 25.79 จุด หรือ +0.34%
# ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 มี.ค.) ขานรับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่มีแนวโน้มคืบหน้า โดยปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพุ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทระยะยาวที่ดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
- ภาวะตลาดน้ำมัน : WTI ปรับลง ทรัมป์เรียกร้องโอเปกเพิ่มการผลิต
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 11 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 59.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 1 เซนต์ ปิดที่ 67.82 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 มี.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรียกร้องให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ผลิตน้ำมันมากขึ้น นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่พุ่งขึ้นสวนทางกับตัวเลขคาดการณ์
+ ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ปรับลงแรง ดอลลาร์แข็งค่ากดดัน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 21.60 ดอลลาร์ หรือ 1.64% ปิดที่1,295.30 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (28 มี.ค.) โดยทองคำดิ่งหลุดจากระดับ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์เป็นครั้งแรกในรอบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากดอลลาร์ที่แข็งค่าได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดนอกจากนี้ การฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
• นักลงทุนติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศภายในสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ รายได้ส่วนบุคคลเดือนก.พ., ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ การเมืองไทย: กกต.เปิดเผยผลการนับคะแนนเลือกตั้งแบบไม่เป็นทางการ 100% แล้ว
# คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยผลการนับคะแนนเลือกตั้งทั่วประเทศ อันดับ 1 พรรคพลังประชารัฐ8,433,137 คะแนน อันดับ 2 พรรคเพื่อไทย 7,920,630 คะแนน อันดับ 3 พรรคอนาคตใหม่ 6,265,950 คะแนน อันดับ 4พรรคประชาธิปัตย์ 3,947,726 คะแนน อันดับ 5 พรรคภูมิใจไทย 3,732,883 คะแนน จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิทั้งสิ้น 38.26ล้านคน คิดเป็น 74.69% ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 51.23 ล้านคน
• ธปท.: คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ 3.8-3.9% หากไม่มีความวุ่นวายทางการเมือง
# ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ 3.8-3.9% หากไม่มีความวุ่นวายทางการเมือง หรือการออกมาชุมนุมประท้วง ส่วนการส่งออกคาดโตได้ 3% รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนมีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง พร้อมมองว่าต้องจับตาดูปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงรอดูความชัดเจนการเรียกเก็บภาษียานยนต์และชิ้นส่วนจากผู้นำเข้าทั่วโลกของสหรัฐฯ ภายในเดือน พ.ค.นี้ หากเกิดขึ้นจริงก็จะส่งกระทบกับไทยได้
+ คาด MSCI ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยวันนี้ หลังจากนำ NVDR เข้าคำนวณ
# MSCI: ตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) ลุ้น MSCI Index ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยจาก 2.5% เป็น 3% ในวันนี้หรือ 29 มี.ค.62มั่นใจช่วยดึงเงินต่างชาติไหลกลับ ด้านโบรกฯคาดฟันด์โฟลว์เข้ากว่า 3.5 หมื่นล้านบาท พร้อมแนะ 4 หุ้นที่จะได้เข้าคำนวณดัชนี MSCI รอบเดือนพ.ค.62 INTUCH, DTAC, RATCH และ CENTEL (ข่าวหุ้น 7 มี.ค.62 )
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]