- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 29 March 2019 13:52
- Hits: 1307
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ความคาดหวังเชิงบวกจากการเจรจาสหรัฐ-จีน เป็นแรงหนุนตลาดหุ้นโลก แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยแล้ว ดัชนีที่ชี้วัดว่า Fund Flow จะไหลเข้าหรือไม่ หรือ SET Index จะไปทิศทางไหน อยู่ที่ความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจจะไม่มึความชัดเจนจนกว่าถึงกลางเดือน พ.ค. 2562 อีกประเด็นหนึ่งที่น่าติดตามคือสถานการณ์การทำ Short Sell ล่าสุดมีแนวคิดที่จะให้นำ NVDR มา Short Sell ได้ ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อ SET Index หุ้น Top Picks วันนี้ เลือก EASTW ([email protected]) และ DCC (FV@B 2.80)
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … หุ้นไทยผันผวนตามกระแสการเมือง
วานนี้ SET Index แกว่งผันผวนตลอดวันและปิดที่ระดับ 1634.25 จุด เพิ่มขึ้น 4.85 จุด (+0.30%) มูลค่าการซื้อขาย 4.76 หมื่นล้านบาท ดัชนีผันผวนตลอดวันจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่แน่นอน โดยหุ้นกลุ่มที่หนุนตลาด คือ กลุ่มสื่อสารอย่าง DTAC(+4.39%) INTUCH(+0.87%) ADVANC(+1.10%) กลุ่มพลังงานอย่าง BGRIM(+4.27%) GULF(+0.26%) SPRC(+1.87%) รวมถึงหุ้นรายตัวอย่าง AOT(+0.37%) VGI(+4.76%) BDMS(+0.82%) แต่โดนกดดันจาก KBANK(-2.08%) BJC(-0.50%) และ MTC(-1.66%)
ประเด็นในต่างประเทศที่อยู่ในความสนใจแลต้องติดตามยังเป็นเรื่องการเจรจาสงคราการค้า สหรัฐฯ-จีน ซึ่งถูกคาดหวังผลในเชิงบวก และน่าจะเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ส่วนในประเทศเป็นประเด็นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล โดยสถานการณ์คืบหน้าล่าสุด กกต. ได้ประกาศผลการนับคะแนน 100% ออกมา ปรากฎว่า ยังไม่มีพรรคการเมืองในชั้วใดที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากจนเกิน กึ่งหนึ่ง (250 เสียงขึ้นไป) ทำให้ยังต้องเห็นความพยายามในการดึงพรรคการเมืองต่างๆ เข้ามาร่วม สถานการณ์ดังกล่าว น่าจะเป็นอุปสรรคต่อการไหลเข้าของ Fund Flow และ การปรับขึ้นไปของ SET Index วันนี้คาด SET Index ยังผันผวนในกรอบ 1620 – 1645 จุด
แรงกดดันจากทั้งทิศทางดอกเบี้ย และสงครามการค้าลดลง
ต่างประเทศสัปดาห์หน้า 3 เม.ย. คณะผู้แทนจีนเดินทางไปเจรจากับสหรัฐที่กรุง Washington หลังจาก 28-29 มี.ค. ทั้งสองเจรจาการค้าเพื่อหาทางออก เชื่อว่าทั้งคู่จะยังประนีประนอมต่อกัน โดยรวมภาพเชื่อว่าสหรัฐจะยังคงบีบให้จีนปฎิบัติตามต่อไป ซึ่งเป็นประเด็นที่ตลาดรับรู้ไปหมดแล้ว
ขณะที่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นของโลกใกล้สิ้นสุด เห็นได้จากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ (จากเดิมคาดจะขึ้น 2 ครั้ง) ส่งผลให้ธนาคารกลางอื่นๆของโลกปรับทิศทางดอกเบี้ยตาม ล่าสุด ยุโรป วานนี้ ผูว่าการธนาคารกลางยุโรป (ECB) เผยว่าอาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปลายปีนี้ (จากเดิมที่คาดจะขึ้นราวช่วงปลายปี) และในเอเซียวัฎจักรดอกเบี้ยมีลักษณะขาลง วันที่ 4 เม.ย. ประชุมธนาคารกลางอินเดีย(RBI) ตลาดคาด RBI จะลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 6.0% นับเป็นการลดครั้งที่ 2 หลังจากที่ลดครั้งแรกในรอบ 1 ปี 6 เดือน เมื่อเดือน ก.พ. เพราะรัฐบาลอินเดียต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงก่อนการเลือกตั้งอินเดีย 11 เม.ย. – 19 พ.ค. 2562
ยังไม่เห็นภาพรัฐบาลที่ชัดเจน คาด SET Index ผันผวนกรอบแคบ
กกต. รายงานผลการนับคะแนน 100% จากการเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค.2562 พบว่ามีจำนวนผู้มาใช้สิทธิรวม 38.268 ล้านคน คิดเป็น 74.69% ของจำนวนผู้มีสิทธิ แยกเป็นบัตรดี 92.85%, งดออกเสียง 1.58% และบัตรเสีย 5.57% ทั้งนี้ พรรคการเมืองที่ได้คะแนน Vote สูงสุดได้แก่ พลังประชารัฐ 8.43 ล้านคะแนน ตามด้วย เพื่อไทย 7.92 ล้านคะแนน, อนาคตใหม่ 6.27 ล้านคะแนน , ประชาธิปัตย์ 3.95 ล้านคะแนน และ ภูมิใจไทย 3.73 ล้านคะแนน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในมุมของจำนวน ส.ส. ที่ได้รับการเลือกตั้งของแต่ละพรรคการเมือง พบว่า อันดับ 1 เป็นของ เพื่อไทย 137 คน ขณะที่ พลังประชารัฐ 116 คน ถัดมาเป็น อนาคตใหม่ ประชาธิปัตย์ และ ภูมิใจไทย อยู่ที่ 80 คน 52 คน และ 51 คน ตามลำดับ (การคำนวนจำนวน ส.ส ในส่วนของบัญชีรายชือ คำนวนโดย ASPS Research อ้างอิงสูตรที่ กกต. อธิบาย)
ทั้งนี้จำนวน ส.ส. ที่ประกาศออกมาดังกล่าว ถือเป็นเพียงการรายงานผลการเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นการรับรองผลการเลือกตั้ง หลังจากนี้จะต้องมีการพิจารณาข้อร้องเรียนต่างๆ ซึ่งอาจมีการให้ใบเหลือง ใบแดง ที่นำไปสู่การจัดการเลือกตั้งซ่อม เมื่อถึงการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการอาจมีตัวเลขที่เปลี่ยนไปจากที่ประกาศข้างต้น อย่างไรก็ตามหากใช้จำนวน ส.ส. ที่ประกาศออกมาดังกล่าวข้างต้น และจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มต่างๆ ที่ฝ่ายวิจัยเห็นว่ามีการแสดงท่าที หรือเจตนาในการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล กับขั้วใดขั้วหนึ่งแล้วพบว่า ยังไม่มีพรรคการเมืองขั้วใดที่จัดตั้งรัฐบาลได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งก็หมายความว่ายังต้องมีการเจรจาหาพรรคการเมืองที่เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกันต่อไป ซึ่งมีเวลาไปจนถึงเดือน พ.ค.2562 ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจนดังกล่าว น่าจะมีผลในทางที่สร้างแรงกดดันต่อ SET Index ให้ผันผวน แต่ก็เชื่อว่าน่าจะอยู่ในกรอบ 1620 – 1645 จุด
ต่างชาติซื้อสลับขายหุ้นในภูมิภาค
ยังไม่มีประเด็นลบจากต่างประเทศเพิ่มเติมเข้ามากดดันตลาดหุ้น และความกังวลของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน วานนี้เป็นไปในทิศทางบวก ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปิดตลาดในแดนบวก ขณะเดียวกันต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นในภูมิภาคเกือบทุกแห่ง มูลค่ารวม 150 ล้านเหรียญ มีเพียงตลาดหุ้นเกาหลีใต้ถูกสลับมาขายสุทธิ 8 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 แห่ง ต่างชาติสลับมาซื้อทุกแห่ง เริ่มจากตลาดหุ้นไต้หวัน 120 ล้านเหรียญ ตามด้วยอินโดนีเซีย 21 ล้านเหรียญ, ฟิลิปปินส์ 13 ล้านเหรียญ และตลาดหุ้นไทยถูกสลับมาซื้อสุทธิ 2 ล้านเหรียญ หรือ 65.ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันฯ ที่สลับมาซื้อสุทธิ 225 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน)
ตลท. เปิดให้ต่างชาติ Short Sale ผ่าน NVDR ได้
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีการอนุญาตเพิ่มหลักทรัพย์ที่สามารถขายชอร์ต (short sale) นั่น คือ NVDR และ DR เพื่อให้นักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มขึ้น รวมถึงช่วยในการบริหารความเสี่ยง โดยจะมีผลในวันที่ 3 เม.ย. 62
อย่างไรก็ตามรายละเอียดในการขายชอร์ตผ่าน NVDR ยังไม่ชัดเจน แต่ในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯทำการประเมินหาหุ้นในตลาดทั้งหมดว่ามีหุ้นอะไรบ้างที่ถูกถือครองผ่าน NVDR มากสุด 15 อันดับแรก ซึ่งคาดว่าจะมีความเสี่ยงจากการมีหุ้นให้ยืมขายชอร์ตมากขึ้น พร้อมกับข้อมูลซื้อขายผ่าน NVDR (ytd) และปริมาณการถูก Short Sale (ytd)
หุ้นที่มีสัดส่วนการถือครองผ่าน NVDR มากสุด 15 อันดับแรก
ที่มา : SET, ฝ่ายวิจัย ASPS
จากตารางทั้ง 15 หลักทรัพย์ แม้อาจได้รับ Sentiment เชิงลบในระยะสั้น อย่างไรก็ตามการลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นอาจถูกกดดันจากประเด็นดังกล่าว เนื่องจากต่างชาติจะมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยผ่าน NVDR กว่า 6.83% ของหุ้นทั้งหมดในตลาดฯ แต่น่าจะยังส่งผลกระทบจำกัด เนื่องจากปัจจุบันทำธุรกรรม Short Sale ของต่างชาติมีขั้นตอนพอสมควร และยังมีความเสี่ยงขาดทุนจาก Spread อัตราแลกเปลี่ยนไปกลับในการซื้อขาย
Preview งบกลุ่ม ธ.พ. 1Q62 คาดโต 5.2% QoQ
คาดกำไรสุทธิ 1Q62 ของ ธ.พ.10 แห่งที่ศึกษา เท่ากับ 4.42 หมื่นล้านบาท เติบโต 5.2% qoq (แต่ลดลง 15.5% yoy) ผลจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลงหลังพ้นช่วงฤดูกาล หักล้างการบันทึกค่าใช้จ่ายสำรองพนักงานที่มีอายุงานเกิน 20 ปี ตาม ร่าง พรบ.คุ้มครองแรงงานฉบับแก้ไขใหม่ รวมถึงค่าใช้จ่ายการลงทุนด้าน IT ที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ภาพรวมธุรกิจหลัก คาดสินเชื่อสุทธิและ NIM ใกล้เคียงกับงวด 4Q61 ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมฯ หดตัวเล็กน้อย เนื่องจากฐานต่ำในปี 2561 และได้รับผลบวกจากการบันทึกกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น ด้านคุณภาพสินทรัพย์ แม้ NPL จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.21% จาก 3.19% ณ สิ้นปี 2561 แต่ไม่น่ากังวล เนื่องจากเป็นช่วงต้นปี ธ.พ.จะมีการบริหารจัดการ NPL อย่างค่อยเป็นค่อยไป ยังไม่ได้เร่งขาย NPL หรือตัดหนี้สูญ ออกไปอย่างเช่นในช่วงปลายปี สำหรับ ธ.พ. ที่คาดว่ากำไรสุทธิ 1Q62 เติบโตโดดเด่นสุดเทียบกับงวด 4Q61 คือ KBANK, SCB, KKP ขณะที่ KTB, TCAP, TISCO ประเมินกำไรสุทธิ 4Q61 หดตัวสูงสุดเทียบกับงวด 4Q61
ในส่วนของภาพรวมทั้งปี 2562 คาดกำไรสุทธิปี 2562 เติบโต 1.1% yoy (หากไม่รวมรายได้พิเศษของ TMB ปี 2561 คาดกำไรกลุ่มฯ เติบโตเพิ่มเป็น 3.6% yoy ยังใกล้เคียงกับการเติบโตของ GDP ปี 2562 ที่ฝ่ายวิจัยประเมิน 3.4% yoy) หนุนจากแนวโน้มสินเชื่อที่จะเร่งตัวขึ้นใน 2H62 ตามโครงการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มฯ เท่าตลาด มี BBL(FV@B227), KBANK(FV@B246) เป็นตัวเลือกลงทุน
คาดการณ์ผลการดำเนินงานงวด 1Q62 ของ ธ.พ. 10 แห่งที่ศึกษา
หมายเหตุ: ธ.พ.ใหญ่ จำนวน 5 แห่ง ประกอบด้วย BBL, SCB, KTB, KBANK, BAY ส่วนที่เหลืออีก 5 แห่ง จัดเป็นเป็นกลุ่ม ธ.พ.กลาง-เล็ก
ที่มา : งบการเงิน/ ฝ่ายวิจัย ASPS
ตลาดผันผวน ลงทุนหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ผันผวนน้อย EASTW
กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งรองรับความผันผวนของ SET Index ที่จะเกิดขึ้นตามความไม่แน่นอนทางการเมือง และปัจจัยโลกอื่นๆ เช่น
หุ้นที่ผันผวนน้อยกว่าตลาด (1L2H) โดย 1L คือ Low Beta คือ หุ้นที่ผันผวนต่ำน้อยกว่าตลาด และ 2H คือ High Upside และ High Growth ปี 2562 รายละเอียดดังรูปด้านล่าง
หุ้นผันผวนต่ำ (1L2H)
ชอบ EASTW([email protected]) จากแรงหนุนของปริมาณขายน้ำดิบและน้ำประปาคาดจะสูงขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ และผลบวกจากโครงการ EEC ที่จะทยอยเกิดขึ้นในระยะยาว และในปี 2562 เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งมาเร็วกว่าทุกปี ทำให้ปริมาณฝนตกทั่วประเทศลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี (EASTW มีพื้นที่ให้บริการน้ำดิบในพื้นที่ภาคตะวันออก) ทั้งนี้คาดเดือน มี.ค.-เม.ย. 62 ฝนตกต่ำกว่าค่าปกติราว 10-20% ตามที่กรมอุตุฯคาดจะทำให้ปริมาณการขายน้ำดิบสูงขึ้นมาก จะถือเป็น upside จากประมาณการ ขณะที่คาดกำไรสุทธิงวด 1Q62 ฟื้นตัวจาก 4Q61 จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดจะลดลงตามฤดูกาลเหมือนในอดีต และหนุนปริมาณขายน้ำดิบและน้ำประปากลับมาสูงขึ้นตามฤดูกาล เนื่องจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมและครัวเรือนจะทยอยกลับมาซื้อน้ำดิบตามปกติ หลังจากหมดวันหยุดยาวในปลายปี โดย EASTW เป็นหุ้น Defensive ที่ผันผวนน้อยกว่าตลาด มี Div Yield สูงราว 4.2% และยังมี Upside 22.73%
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ