•    วันนี้คาดดัชนี SET ปรับย่อเพราะเสี่ยงเจอแรงขาย หลังนักลงทุนรอความชัดเจนจากผลการเลือกตั้ง และรูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ประเมินกรอบเคลื่อนไหว 1,625-1,640 จุด

•    (+) EU มีมติเห็นชอบขยายเวลาเลื่อนกำหนด Brexit ออกไป โดยมีเงื่อนไขว่าข้อตกลง Brexit ที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นางเทเรซา เมย์ จะต้องผ่านมติจากทางรัฐสภาอังกฤษในสัปดาห์หน้า หากผ่านจะขยายเวลาถึงวันที่ 22 พ.ค. หากไม่ผ่านจะขยายเวลาเพียงวันที่ 12 เม.ย.

•    (+) ส.อ.ท. เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ก.พ.62 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 95.6 (จากเดือน ม.ค. ที่ 93.8) จากผลบวกของอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัว ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 105.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 104.1 ในเดือน ม.ค.โดยผู้ประกอบการคาดหวังความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจภายหลังการเลือกตั้งและมีการจัดตั้งรัฐบาล(อินโฟเควสท์)

•    (+) กระทรวงพาณิชย์ เผย ตัวเลขส่งออกสินค้าไทยเดือนก.พ. 62 มูลค่ารวม21,553.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.91% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 17,519.2 ลดลง 10.03% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าเดือน ก.พ. 4,034.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (โพสต์ทูเดย์)

•    (-) ส.อ.ท. เผยยอดผลิตรถยนต์เดือนก.พ.62 อยู่ที่183,071 คัน (+2.71%YoY)  โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเดือนก.พ. อยู่ที่ 98,743 คัน (+0.12%YoY) และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 84,328 คัน (+5.92%YoY) สำหรับยอดขายในประเทศ ก.พ.62  อยู่ที่ 82,324 คัน(+9.1%YoY) ขณะที่ยอดส่งออกลดลง 1.63% YoYอยู่ที่ 100,550 คัน ผลจากเศรษฐกิจประทศคู่ค้าชะลอตัว(ฐานเศรษฐกิจ)

•    (watch) อัพเดท Flow การลงทุนตลาดหุ้นของนลท.ต่างชาติ โดยเดือน ม.ค. 62 ซื้อสุทธิ 6,721.62 ลบ. และเดือน ก.พ. 62 ขายสุทธิ 3,410.15 ลบ. ส่วน Month to date ต่างชาติขายสุทธิ 16,852.98ลบ.

•    สัปดาห์หน้ามองทิศทางของ SET Index ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งและบทสรุปของโอกาสที่จะเกิดการจัดตั้งรัฐบาลผสม รวมถึงสิ่งที่นักลงทุนต้องระวังคือความเสี่ยงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจหลังธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 62 โตลดลงเหลือ 3.8% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 4.0%ดังนั้นมอง SET Index มีความผันผวนสูง โดยดัชนีมีแนวรับ 1,615 จุด และแนวต้าน 1,640 จุดมองหากดัชนีย่อเป็นโอกาสเข้าซื้อ 3 กลุ่ม หุ้นเด่น ดังนี้

•    กลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์หลังเลือกตั้ง:กลุ่มค้าปลีก (มองได้อานิสงส์บวกจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำที่พรรคการเมืองหลักทั้ง 4 นำมาใช้เป็นนโยบายหลักในการหาเสียง ซึ่งมีค่าเฉลี่ยของค่าแรงขั้นต่ำใหม่สูงกว่าระดับปัจจุบันที่ 330 บาทต่อวัน ราว 25-26.9% คาดหนุนกำลังซื้อกลุ่มรากหญ้าให้ปรับตัวดีขึ้น เลือกหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ ได้แก่ CPALL, AEONTS), กลุ่มท่องเที่ยว (คาดเมื่อประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ทำให้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มมีมุมมองความเสี่ยงทางการเมืองของประเทศไทยที่ลดลง คาดทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เลือกหุ้นที่คาดจะได้ประโยชน์ ได้แก่ AAV, AOT, PLAT)และกลุ่มสื่อ (คาดเอเจนซี่ที่ชะลอการใช้เม็ดเงินในช่วงก่อนหน้าจะกลับมาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่อุตสาหกรรมอีกครั้ง หลังการเลือกตั้งมีความชัดเจนและการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น โดยแนะนำกลุ่มที่เห็นสัญญาณบวกจากส่วนแบ่งในเม็ดเงินโฆษณาที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในเดือน ก.พ. ได้แก่ กลุ่มดิจิตอลทีวี (เพิ่มจาก 62.7% ณ สิ้น ธ.ค. เป็น 64.8%) แนะนำ RS, BEC และกลุ่ม Out of Home (เพิ่มจาก 12.2% ณ สิ้น ธ.ค. เป็น 13.7%) แนะนำVGI

•    Turnaround Stock: โดยเลือกหุ้นที่กำไรปี 61 ชะลอลงแต่จะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นในปี 62เลือก TKS (ปี 62 คาดกำไรโตเด่น 29.8%YoY จากงานบัตรเลือกตั้งและการเพิ่มสินค้าและบริการด้านนวัตกรรม + แนวโน้มสดใส นอกจากนี้มี Upside Risk หากได้งาน E-Passport), TWPC (ปี 62 คาดกำไรโตเด่น 146.6%YoY จากแผน Inorganic Growth และสภาวะขาดแคลนวัตถุดิบเริ่มดีขึ้น, TVDปี62 ตั้งเป้ารายได้รวม 4,800 ลบ. เพิ่มขึ้น 20% YoYแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจของทีวี ไดเร็ค 3,300 ลบ. และจาก 6 บริษัทในเครืออีก 1,500 ลบ. ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์หลักจากการทำ Omni Channel Direct Marketing Experience โดยผสมผสานการทำตลาดผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

•    กลุ่มโรงพยาบาล: มองเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่น่าสนใจยามตลาดผันผวน จากกระแสเงินสดแข็งแกร่งไม่ผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเราคัดกรองหุ้นจากข้อมูลของ Bloomberg Consensus ที่มี Earning Growth ปี 62 โต และยังมี Upside เลือก EKH (ปี 62 ตั้งเป้ารายได้โตหนุนด้วยการเปิดให้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) พระราม 9 สามารถให้บริการได้เต็มปีทำให้สามารถรองรับคนไข้เข้ามาใช้บริการได้เพิ่มขึ้นจาก 300 ราย/ปีจากเดิมที่ 200 ราย/ปีนอกจากนี้เตรียมเปิดอาคารกุมารเวชแห่งใหม่ในช่วงต้นปี 62 ซึ่งจะมีจำนวนห้องและเตียงเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 53 เตียงจากเดิมที่มี 86 เตียง), BCH (แรงหนุนจากการปรับปรุงโรงพยาบาลในเครือ และการเพิ่มศูนย์การแพทย์ระดับตติยภูมิ พร้อมกับแนวโน้มสดใสของ WMC และ IVF), BDMS (คาดกำไรปี 62 โต YoYจากแผนยกระดับการให้บริการที่เน้นกลุ่มโรคซับซ้อนมากขึ้น และพัฒนาการของโครงการWellness Clinic  รวมทั้งคาดมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น RAM ซึ่งคาดจะบันทึกในช่วง 1Q62 (4.6 ล้านนหุ้น ที่ราคา 2,800 บาท/หุ้น) ซึ่งบริษัทมีแผนจะนำมาชำระหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน)

SET100 Top Overvalued Gainer/ Undervalued Loser 

•    หุ้น SET100 ที่เป็น Top Gainer แต่ราคาหุ้น Overvalued เทียบกับ Bloomberg Median Consensus : CBG (+87%YTD, Downside 5.9%), DTAC (+17.3%YTD, Downside 11%) และ GULF (+13.2%YTD, Downside 7.4%)

•    หุ้น SET100 ที่เป็น Top Losers แต่ราคาหุ้น Undervalued เทียบกับ Bloomberg Median Consensus : STA (-10.6%YTD, Upside 24%), IVL (-9.7%YTD, Upside 38.6%) และ ROBINS (-9.5%YTD, Upside 26.2%)

*ใช้ข้อมูลวันที่ 21/3/2019 ในการคำนวณ, SET100 +4.5%YTD

 

21-Mar-19    Change (pts.)    20-Mar-19

SET Index    1,634.00    6.38    1,627.62

SET50 Index    1,087.41    5.44    1,081.97

SET100 Index    2,395.50    11.76    2,383.74

 

High    1,640.04    Gainers       682 

Low    1,631.41    Unchanged    575

Value (Bt m)    39,634.71    Losers  549 

Volume (*000)    12,442,099          

 

Market Valuation

SET Data    2018F    2019F    Long Term

Fwd PER (x)    14.9    13.6    13.6

EPS Growth (%)    13.9    9.3    7.3

EV/EBITDA (x)    9.9    9.3    9.1

FWD PBV (x)    1.8    1.7    1.6

Dividend Yield (%)    3.2    3.5    3.9

ROE    11.5    11.7    11.4

 

Net Buy/Sell by Investor Types

Unit : M Bt    21-Mar-19    WTD    MTD    YTD

Institution    3,217.69    4,556.04    5,004.36    31,767.69

Proprietary    87.12    (288.04)    (534.78)    3,410.83

Foreign     (757.94)    (2,581.84)    (16,853.00)    (13,541.52)

Individual    (2,546.87)    (1,686.17)    12,383.42    (21,636.99)