ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ : SET Index ปรับตัวลง -10.31 จุด (-0.63%) ปิดที่ 1,625 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.9 หมื่นล้านบาท จากความกังวลการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนที่อาจเลื่อนการประชุมออกไปเป็นเดือนหน้า ประกอบกับ ความกังวลนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของพรรคการเมืองอาจกดดันต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้มีแรงขายในกลุ่ม COMM, CONS และ TRANS สำหรับนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,350 ล้านบาท และ Net Long TFEX 418 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 449 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : มุมมองเป็นกลางคาดดัชนีแกว่งตัว 1,620 - 1,635 จุด โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะได้ปัจจัยบวกจากความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่คาดว่าจะทราบผลในอีก 3 – 4 สัปดาห์ รวมถึงจีนจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป อย่างไรก็ตามแรงกดดันจาก Fund Flow ต่างชาติที่กลับมาเป็นฝั่ง Net Sell อีกครั้งเพื่อลดความเสี่ยงก่อนผลการเลือกตั้งในสุดสัปดาห์นี้ ประกอบกับคาดว่านักลงทุนจะชะลอการซื้อ/ขายเพื่อติดตามการประชุม FOMC ในวันที่ 19-20 มี.ค.ว่าจะส่งสัญญาณทิศทางอัตราดอกเบี้ยและการชะลอปรับลดงบดุลอย่างไร ซึ่งจะกดดันให้ภาวะตลาดมีความผันผวนได้ง่าย

•    กลุ่มโรงกลั่น (TOP, PTTGC, SPRC) คาดงบ 1Q19 เป็นบวกจากค่าการกลั่นฟื้นตัวขึ้นและ Stock gain

•    กลุ่มค้าปลีก (CPALL, ROBINS, HMPRO) ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินที่จะสะพัดมากขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง

•    กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม (AOT, MINT, CENTEL, ERW) ครม.ขยายเวลามาตรการฟรีค่าธรรมเนียมวีซ่า (VOA) ถึงวันที่ 30 เม.ย.19 และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนขยายตัวขึ้น

หุ้นแนะนำวันนี้ : EA (ปิด 48 ซื้อ/เป้า 63) คาดกำไรสุทธิ 1Q19 พุ่งทำ All time high ต่อเนื่องรับข่าวดีโรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการหนุมาน 1 และ 8 กำลังการผลิตรวม 90MW เริ่ม COD ตั้งแต่ 25 ม.ค. นอกจากนี้ EA ยังได้รับการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของ FTSE รอบใหม่ในกลุ่ม Large cap, PLANB (ปิด 6.35 ซื้อ/เป้า 7) ราคาหุ้นยัง Laggard หากเทียบกับกลุ่ม โดย YTD ราคาหุ้น PLANB ปรับขึ้นเพียง 5% ขณะที่กลุ่ม Media ปรับขึ้น 9% กลุ่ม Media เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้ Sentiment บวกจากนโยบายหาเสียงที่เน้นการเพิ่มอำนาจซื้อให้กับประชาชน ส่งผลให้ผู้ประกอบการเพิ่มงบโฆษนาเพื่อดึงดูดกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว

Top picks ปี 2Q19 : CPALL, IVL, MTC, SPRC และ TOP

KSS report วันนี้ : SPRC (ปิด 10.6 ซื้อ/เป้าใหม่ 13.2 จาก 14), Thailand Strategy

ประเด็นสำคัญวันนี้ :          

•    (+) ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 139 จุด คาดหวังเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐจะได้ข้อยุติในเร็วๆนี้ : ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า สหรัฐจะทราบผลของการเจรจาประมาณ 3-4 สัปดาห์ข้างหน้าสอดคล้องกับรายงานข่าวของจีนที่ระบุว่า นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ โดยทั้งสองฝ่ายระบุว่าการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทการค้ามีความคืบหน้าในการเจรจาการค้าเป็นอย่างมาก หลังจากจีนจะออกกฎระเบียบและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการลงทุนของต่างชาติ เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ทางกฎหมายของนักลงทุนต่างชาติ

•    (+) จีนเตรียมประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ลดผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า : นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนยอมรับเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญแรงกดดันในช่วงขาลง เพื่อยับยั้งการชะลอตัวดังกล่าวจีน จะบังคับใช้ "มาตรการที่แข็งแกร่ง" เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะกระตุ้นตลาดในประเทศเป็นเป้าหมายหลัก อาทิ การปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่ม และมาตรการอื่นๆอีกมากมายซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2019 เป็นต้นไป

•    (+/-) เลือกตั้งล่วงหน้าคึกคัก แต่นักลงทุนยังกังวลนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่เน้นประชานิยม : วานนี้ประชาชนออกไปใช้สิทธเลือกตั้งล่วงหน้ากันอย่างคึกคักสะท้อนถึงการตื่นตัวทางการเมืองที่มากขึ้นนับเป็นสัญญาณบวกต่อภาพรวมการเมืองของไทย อย่างไรก็ตามเรายังกังวลต่อการหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายซึ่งพรรคการเมืองอาจจะชูนโยบายที่เป็นหมัดเด็ดเพื่อเรียกคะแนนเสียงกันมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายประชานิยม ซึ่งนโยบายเหล่านี้จะผูกมัดพรรคการเมืองในภายหลังเมื่อได้รับเลือกให้เป็นรัฐบาล

•    (+) ประชุมเฟดสัปดาห์นี้คาดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.5% ตามเดิม แต่อาจเห็นการปรับลด dot plot ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของปีนี้ลง : เราคงมุมมองเดิมคาดการประชุม เฟดในวันที่ 20 มี.ค.นี้จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.5% ตามเดิม และอาจจะเห็นสัญญาณบวกในเรื่องของการปรับลดขนาดงบดุลที่เฟดอาจจะส่งสัญญาณเพื่อปรับลดเพดานการลดขนาดงบดุลหรือการยุติโครงการดังกล่าว นอกจากนี้อาจเป็นไปได้ที่คณะกรรมการเฟดอาจจะเปลี่ยนแปลง dot plot หรือจำนวนครั้งในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้จากเดิม 2 ครั้ง เป็น 1 ครั้งหรือไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเลย ซึ่งจะเป็นบวกต่อทิศทาง Fund flow ของต่างชาติที่อาจจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง