•    วันนี้เราคาดดัชนี SET เริ่มชะลอการปรับลง โดยแม้ Flow ของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติยังขายต่อเนื่องเป็นวันที่เก้าติดต่อกัน แต่เริ่มเห็นสัดส่วนการขายที่ลดลงจากวันก่อนหน้า อีกทั้ง Consensus เดือนมี.ค. มีการปรับคาดการณ์กำไรลงในระดับที่ลดลงจากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้เราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวในวันที่ 1,625-1,640

•          (-) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดคาดการณ์ ศก. ปี 62 ลงจาก 1.7% เหลือเพียง 1.1% โดยมีแนวโน้มขยายเวลาคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปี บวกกับได้เปิดโครงการปล่อยกู้ภาคธนาคารดอกเบี้ยต่ำ (Targeted Longer-Term Refinancing Operations III) เป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่เริ่มกระตุ้น ศก. ในปี 57 ซึ่งโครงการนี้จะเริ่มบังคับใช้ในเดือน ก.ย. 62 ถึง มี.ค. 64 เพื่อกระตุ้น ศก.

•          (-) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน(กกร.) เตรียมพิจารณาปรับเป้า GDP ใหม่ เดือน เม.ย.นี้  หลังตัวเลขส่งออกเดือน ม.ค.หดตัว 5.7% โดยที่การส่งออกไปจีนลดลง 16.7% จากผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐ-จีน  โดยยังมีปัจจัยหนุนภาคการท่องเที่ยวที่ขยายได้ดี (โพสต์ทูเดย์)

•        (watch) อัพเดท Flow การลงทุนตลาดหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ โดยเดือน ม.ค. 62 ซื้อสุทธิ 6,721.62 ลบ. และเดือน ก.พ. 62 ขายสุทธิ 3,410.15 ลบ. ส่วน Month to date ต่างชาติขายสุทธิ 8,336.47 ลบ.

•    (watch) เมื่อวานนี้เรายังจับตาสัญญาณการย้ายเม็ดเงินออกจากตราสารหนี้ระยะสั้นเข้าไปพักเงินไว้ที่ตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้น โดยเมื่อวานนี้ Yield ของ Thailand Government Bond อายุ 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นขณะที่อายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ Spread ของพันธบัตร2Yr-10Yr ปรับตัวสูงขึ้นเป็น -74.5048 bps จากวันก่อนหน้าที่ -75.3475 bps สอดคล้องกับ Flow ของนักลงทุนต่างชาติโดยจากข้อมูลของ Thaibmaพบว่าเมื่อวานนี้เข้าซื้อสุทธิตราสารหนี้ระยะยาว 615.50 ล้านบาทแต่ขายสุทธิตราสารหนี้ระยะสั้น 324.82 ล้านบาท

•    สัปดาห์หน้ามอง SET Index แกว่งในกรอบ มองการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของConsensusจะชะลอลง โดยข้อมูลจาก Bloomberg Consensus ได้ปรับลดประมาณการ EPS ของSET Index ปี 62 เหลือเพียง 109.91บาท ลดลง 4.3%Year To Date อย่างไรก็ดีจากข้อมูลเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง (ปี 2552-2561) พบว่า Consensus มักจะปรับลดคาดการณ์กำไร %MoMตั้งแต่ช่วงเดือน ก.พ. และปรับลดด้วยขนาดที่ลดลงในเดือน มี.ค.พร้อมกับกลับมามีมุมมองเชิงบวกในช่วงเดือน เม.ย. และ พ.ค. (ตามรูปข้างล่าง)

 

บวกกับการเข้าใกล้วันเลือกตั้งในช่วง 24 มี.ค. นี้คาดจะทำให้มุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่กังวล Political Risk ของประเทศไทยจะลดลง พร้อมกับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้นคาดส่งผลให้ทั้งการลงทุนและการท่องเที่ยวดีขึ้น ดังนั้นมอง SET Index จะหยุดการปรับตัวลงในสัปดาห์หน้าและช่วงปลายเดือนมีโอกาสเห็น SET Index พลิกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งมองภาพรายเดือนดัชนีมีแนวรับ 1,620 จุด และแนวต้าน 1,675 จุด มองเป็นโอกาสเข้าซื้อ 3 กลุ่ม หุ้นเด่น ดังนี้

•    Turnaround Stock: โดยเลือกหุ้นที่กำไรปี 61 ชะลอลงแต่จะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นในปี 62เลือก TKS (ปี 62 คาดกำไรโตเด่น 29.8%YoY จากงานบัตรเลือกตั้งและการเพิ่มสินค้าและบริการด้านนวัตกรรม + แนวโน้มสดใส นอกจากนี้มี Upside Risk หากได้งาน E-Passport), TWPC (ปี 62 คาดกำไรโตเด่น 146.6%YoY จากแผน Inorganic Growth และสภาวะขาดแคลนวัตถุดิบเริ่มดีขึ้น), BEC (คาดเห็นการ Turnaround ของกำไรตั้งแต่ช่วง 1Q62 โดยมีปัจจัยบวกหลักจาก 1) ไม่มี One-time expense ที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างพนักงาน 2) Rating เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากเพียง 1.108 ในเดือน ธ.ค. เป็น 1.292 ในช่วงเดือน ก.พ. หลังละคร “ทองเอก หมอยาท่าโฉลง” และ “ตุ๊กตาผี” ได้รับความนิยมสูง  3) เม็ดเงินโฆษณาของสื่อทีวีในเดือน ม.ค. ปรับขึ้น 3.25%YoY สวนทางอุตสาหกรรม), TVD ปี 62 ตั้งเป้ารายได้รวม 4,800 ลบ. เพิ่มขึ้น 20% YoYแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจของทีวี ไดเร็ค 3,300 ลบ. และจาก 6 บริษัทในเครืออีก 1,500 ลบ. ขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์หลักจากการทำ Omni Channel Direct Marketing Experience โดยผสมผสานการทำตลาดผ่านทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

•    กลุ่มโรงพยาบาล: มองเป็นหุ้นกลุ่ม Defensive ที่น่าสนใจยามตลาดผันผวน จากกระแสเงินสดแข็งแกร่งไม่   ผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจและธุรกิจยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเราคัดกรองหุ้นจากข้อมูลของ Bloomberg Consensus ที่มี Earning Growth ปี 62 โต และยังมี Upside เลือก EKH (ปี 62 ตั้งเป้ารายได้โตหนุนด้วยการเปิดให้บริการศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) พระราม 9 สามารถให้บริการได้เต็มปีทำให้สามารถรองรับคนไข้เข้ามาใช้บริการได้เพิ่มขึ้นจาก 300 ราย/ปีจากเดิมที่ 200 ราย/ปีนอกจากนี้เตรียมเปิดอาคารกุมารเวชแห่งใหม่ในช่วงต้นปี 62 ซึ่งจะมีจำนวนห้องและเตียงเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 53 เตียงจากเดิมที่มี 86 เตียง), BCH (แรงหนุนจากการปรับปรุงโรงพยาบาลในเครือ และการเพิ่มศูนย์การแพทย์ระดับตติยภูมิ พร้อมกับแนวโน้มสดใสของ WMC และ IVF), BDMS (คาดกำไรปี 62 โต YoYจากแผนยกระดับการให้บริการที่เน้นกลุ่มโรคซับซ้อนมากขึ้น และพัฒนาการของโครงการWellness Clinic  รวมทั้งคาดมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น RAM ซึ่งคาดจะบันทึกในช่วง 1Q62 (4.6 ล้านนหุ้น ที่ราคา 2,800 บาท/หุ้น) ซึ่งบริษัทมีแผนจะนำมาชำระหนี้เพื่อลดภาระทางการเงิน)

•    กลุ่มจำนำทะเบียนรถ: รับผลบวกจากกฎระเบียบมีความชัดเจนยิ่งขึ้น แนะนำSAWAD (คาดปี 62 กำไรโต 30.8%YoYจากแผนขยายสินเชื่อใหม่ 20-30%YoYสอดรับกับจำนวนสาขาที่จะเพิ่มขึ้นอีก300-400 สาขาบวกกับรับรู้ผลของYield ที่ฟื้นตัวแบบเต็มปีและต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มลดลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตรราว 2,500-2,600 ลบ.) และ MTC (คาดกำไรปี 62 โต 33.7%YoY หนุนด้วยแผนเปิดสาขาใหม่อีก 600 สาขาเพื่อเพิ่มพื้นที่บริการให้ครอบคุมมากขึ้น พร้อมตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่อีก 35%YoY ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมี NPL ต่ำสุดในกลุ่ม) 

•    หุ้นกลุ่มที่มี Performance Improvement น่าสนใจ หลังประกาศงบปี 61 ทั้งในแง่ของการเติบโตของรายได้และกำไร รวมทั้งอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่ระดับ PER ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ของ Sector ย้อนหลัง 3 ปี แนะนำ MAJOR, PORT, PSH, AMANAH และ ASK

 

7-Mar-19    Change (pts.)    6-Mar-19

SET Index    1,633.21    7.70    1,625.51

SET50 Index    1,084.58    5.93    1,078.65

SET100 Index    2,392.53    13.36    2,379.17

 

High    1,635.77    Gainers                           653 

Low    1,623.32    Unchanged    485

Value (Bt m)    38,623.06    Losers                           644 

Volume (*000)    12,829,369          

 

Market Valuation

SET Data    2018F    2019F    Long Term

Fwd PER (x)    14.9    13.6    13.6

EPS Growth (%)    13.9    9.3    7.9

EV/EBITDA (x)    10.0    9.3    9.2

FWD PBV (x)    1.8    1.7    1.6

Dividend Yield (%)    3.2    3.5    3.9

ROE    11.5    11.6    11.6

 

Net Buy/Sell by Investor Types

Unit : M Bt    7-Mar-19    WTD    MTD    YTD

Institution    355.08    1,749.60    (1,392.37)    25,370.96

Proprietary    (533.30)    (1,090.33)    (541.97)    3,403.63

Foreign     (569.83)    (6,557.53)    (8,336.48)    (5,025.00)

Individual    748.05    5,898.26    10,270.82    (23,749.59)