- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 28 February 2019 16:10
- Hits: 3290
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ปัญหาการปิดน่านฟ้าปากีสถาน-อินเดีย กระทบสายการบินและท่องเที่ยว แต่อาจจะกระทบ SET Index ไม่มากนัก เชื่อว่ายังมีโอกาสทดสอบแนวต้าน 1675 จุด และขึ้นเหนือ 1700 จุด ภายใต้สมมติฐานการเลือกตั้งยังเดินหน้าตามกำหนด และได้แรงหนุนจากหุ้นพลังงานโดยเฉพาะหุ้นน้ำมัน (PTTEP, PTT) ที่ถือว่ายังขึ้นน้อยกว่าตลาด บวกกับเข้าสู่การจ่ายเงินปันผล กลยุทธ์ยังหุ้นที่ให้ปันผลสูง(QH, LH, KKP, THANI, BBL, PTT) Top picks วันนี้เลือก PTT(FV@B56) และ LH(FV@B14) ให้ผลตอบแทนสูงก่อนขึ้น XD 1-2 เดือนข้างหน้า
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … SET Index แกว่งตัวในกรอบแคบ
วานนี้ SET Index แกว่งตัวในกรอบแคบตลอดวัน ก่อนปิดที่ระดับ 1665.27 จุด เพิ่มขึ้น 1.71 จุด (+0.10%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.25 หมื่นล้านบาท ตลาดตอบรับปัจจัยต่างประเทศเรื่อง Fed กลับมาใช้นโยบายการเงินผ่อน รวมถึงมีแรงซื้อจากข่าวประเด็นสำคัญรายตัว โดยกลุ่มที่หนุนตลาดคือ กลุ่มพลังงานและปิโตรฯ อย่าง PTT PTTEP IVL และ SCI เป็นต้น และประเด็นจากข่าวเฉพาะหุ้นรายตัว คือ TCAP เรื่องผู้ถือหุ้น TCAP ถูก Dilution Effect โดย TMB ซื้อกิจการเฉพาะในส่วนธนาคาร จึงทำให้ปิดที่ระดับ 56.25 บาท เพิ่มขึ้น 5.63%
ประเมินดัชนีหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวขึ้นต่อ โดยมีโอกาสทดสอบแนวต้าน 1675 จุด และขึ้นเหนือ 1700 จุด แม้จะมีปัญหาการปิดน่านฟ้าปากีสถาน-อินเดีย กระทบต่ออุตสาหกรรมการบินและโรงแรมช่วงสั้น แต่ประเด็นการเลือกตั้งยังเดินหน้าตามกำหนด และหุ้นปิโตรเลี่ยม (PTT, PTTEP) ที่มีโอกาสฟื้นตัวตามราคาน้ำมัน หลังการรายงานสต็อกน้ำมันลดลงมากกว่าตลาดคาด และได้แรงหนุนจาก dollar ที่อ่อนค่า
การบิน/ท่องเที่ยว กระทบเส้นทางบินไปยุโรป..ปากีสถานปิดน่านฟ้า
ความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านปากีสถาน และอินเดีย จนนำไปสู่การปิดน่านฟ้า ถือเป็นอุปสรรคต่อสายการบินนานาชาติที่ข้ามพรมแดนน่านฟ้าระหว่างอินเดีย และปากีสถาน ต้องยกเลิกเที่ยวบินระยะสั้น หรือเบี่ยงเส้นทางบินอื่นแทน ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินและท่องเที่ยว ดังนี้
อุตสาหรกรรมการบิน กระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานสายการบิน ซึ่งปัจจุบันเผชิญกับต้นทุนน้ำมันที่ผันผวน และการแข่งขันที่รุนแรงอยู่แล้ว สายการบินที่กระทบมากสุด คือสายการบินที่มีเส้นทางบินสู่ยุโรปโดยตรงมากสุด คือ THAI ซึ่งมีรายได้จากภูมิภาคดังกล่าวราว 10% ของรายได้รวม ซึ่งฝ่ายวิจัยแนะนำ Switch อยู่แล้ว
รองลงมาคือ BA แม้ให้บริการเส้นทางบินในภูมิภาคอาเซียน แต่ส่วนหนึ่งที่รับผู้โดยสารต่อจากสายการบินครบวงจร ซึ่งบินตรงจากยุโรปและตะวันออกกลาง และลูกค้ากลุ่มนี้ มีสัดส่วนรายได้รวมราว 33% แม้สายการบินพันธมิตรของ BA อยู่ระหว่างแก้ไขปัญหาโดยการบินอ้อมในเส้นทางอื่น แต่ทำให้เกิดความล่าช้ากว่าปกติ โดยการเปลี่ยนเครื่องบิน เพื่อเปลี่ยนสายการบิน ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาและค่าใช้จ่ายระยะสั้น แม้ทางพื้นฐานยังให้ ซื้อ เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าเงินลงทุน BDMS (ถือหุ้นราว 7%) แต่ระยะสั้นให้ชะลอการลงทุนไปก่อน
รวมถึง ผู้ให้บริการสนามบิน AOT มีฐานลูกค้ายุโรปใกล้เคียงนักท่องเที่ยวราว 23% และราคาหุ้นที่ใกล้เคียงกับปัจจัยพื้นฐาน จึงยัง คงนำ Switch
การท่องเที่ยว พิจารณาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจากยุโรป 17% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่หากพิจารณาเป็นรายบริษัทพบว่าผู้ที่ให้บริการด้านห้องพักโรงแรม แตกต่างกัน คือ
• CENTEL(FV@B52) แม้มีสัดส่วนรายได้ค่าห้องจากยุโรปประมาณ 27% ของค่าห้องพัก ซึ่งคิดเป็น 50% ของรายได้รวม ที่อีกเหลือ 50% เป็นรายได้ธุรกิจอาหาร หากมองในกรณีเลวร้าย ผลกระทบของ CENTEL สุทธิน่าจะราว 13.5%
• ERW ([email protected]) มีสัดส่วนรายได้ค่าห้องพักจากนักท่องเที่ยวยุโรป 10-15% ของค่าห้องพัก ซึ่งคิดเป็น 65% ของอรายได้รวม ที่อีกเหลือ 35% เป็นรายได้จากธุรกิจอาหาร และเครื่องดืมในโรงแรม หากมองในกรณีเลวร้าย ผลกระทบสุทธิของ ERW จะราว 8%
• MINT (FV@B48) หลังควบรวม NH Hotel ทำให้สัดส่วนรายได้มาจากโรงแรมต่างประเทศเป็นหลัก ราวสัดส่วน 60-70% ของรายได้โรงแรม ซึ่งในจำนวนนี้ราว 65% เป็นรายได้จากค่าห้องพักโรงแรมในต่างประเทศ (ที่เหลือ 35-40% เป็นการกระจายในธุรกิจอื่น เช่นอาหาร, พัฒนาอสังหาฯ และค้าปลีกเป็นต้น) หากมองในกรณีเลวนร้าย ผลกระทบสุทธิของ MINT จะราว 40%
คาดว่าผลกระทบน่าจะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ล่าสุดมีการแก้ป้ญหาโดยการเลี่ยงเส้นทางบินที่ผ่านน่านฟ้า อินเดีย-ปากีสถานมายัง น่านฟ้า อิหร่าน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาลอิหร่าน ประกอบกับเป็นช่วงปลายไตรมาส 1 ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วง Low Season ปกตินักท่องเที่ยวยุโรปจะเดินทางมาไทยน้อยลงในช่วงเวลานี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงส่งผลจำกัด
ภายใต้สถานการณ์นี้ ชอบ ERW เพราะผลกระทบน้อยสุด และยังมี upside 22% รองลงมาคือ MINT แม้กระทบมาก แต่ธุรกิจกระจายตัวดี และ มี upside สูงสุด 25% ขณะที่ CENTEL มี upside น้อยสุด จึงแนะนำซื้อลงทุน ERW และ MINT
ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรค ทษช. 7 มี.ค. 2562 เวลา 15:00 น.
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดพิจารณาคำร้องของ กกต. ให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) นัดแรกเมื่อวานนี้ (27 ก.พ.2562) ศาลฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอสำหรับการพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงไม่ทำการไต่สวน ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 58 วรรคหนึ่ง โดยศาลได้กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา และลงมติในวันที่ 7 มี.ค. 2562 เวลา 13:30 น. และ นัดอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังในวันเดียวกันในเวลา 15:00 น. ซึ่งจากลำดับเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นที่แน่นอนว่าผลของคดียุบพรรค ทษช. จะเกิดขึ้นก่อนเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 หากผลออกมาไม่มีการยุบพรรค ทษช. ก็จะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ แต่หากออกมาเป็นการยุบพรรค ผู้สมัครของ ทษช. ก็จะอยู่ในภาวะที่ถูกตัดสิทธิ์การลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ในรอบนี้โดยปริยาย ส่วนอีกกรณีหนึ่ง คือกรณีที่ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เข้าพบอัยการบนฐานความผิดเรื่องการจัดรายการ คืนวันศุกร์ให้ประชาชน ผ่าน Facebook ในช่วงก่อนปลดล็อคทางการเมือง อัยการ นัดฟังผลการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ ในวันที่ 26 มี.ค. 2562 (หลังเลือกตั้ง) ซึ่งก็หมายความว่า พรรคอนาคตใหม่ยังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งได้ตามปกติ ส่วนหลังจากนั้น หากมีการสั่งฟ้องคดี ก็ต้องดำเนินคดีในชั้นศาลต่อไปซึ่งต้องใช้ระยะเวลายาวนาน
โดยภาพรวมทางการเมืองจึงยังไม่มีประเด็นอะไรที่ผิดจากที่ฝ่ายวิจัยคาดหมาย โดยที่ยังเดินหน้าสู่การจัดการเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 ต่อไป และช่วงเวลาจากนี้ไม่น่าจะมีเหตุอื่นเข้ามากระทบจึงเชื่อว่า ปัจจัยทางการเมืองจะยังไม่กลับมาสร้างแรงกดดันต่อ SET Index
ราคาน้ำมันขึ้น หนุนจากสต็อกน้ำมันดิบลดลงแรง
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ล่าสุด พลิกกลับมาลดลงครั้งแรกราว 8.64 ล้านบาร์เรล มากกว่าตลาดคาดที่ 2.84 ล้านบาร์เรล ผลจากมีการนำเข้าน้ำมันมันดิบลดลง อยู่ที่ 5.9 ล้านบาร์เรล/วัน ต่ำสุดในรอบ 23 ปี หลังจากโรงกลั่นชะลอการกลั่นลงจากในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุง สะท้อนจากอัตรากำลังการกลั่น ล่าสุดอยู่ที่ 87.4% ลดลงจาก 88.2% ในสัปดาห์ก่อนหน้า และการตัดลด Supply ยังเป็นไปตามแผน สะท้อนจากกำลังการผลิตน้ำมันของประเทศผลิตน้ำมัน OPEC เดือน ม.ค. ที่ลดลงราว 7.97 แสนบาร์เรล/วัน ถือว่ากำลังการผลิตที่ลดลง ใกล้เคียงกับข้อตกลงของผู้ผลิตทั้งกลุ่ม OPEC และ Non OPEC ที่ทำไว้ในเดือน ธ.ค.2561 ที่ตั้งเป้าจะตัดลดการผลิตจนถึง กลางปี 2562 ที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน (แบ่งเป็น OPEC ต้องลดลง 8 แสนบาร์เรล/วัน ขณะที่ Non OPEC ลดลง 4 แสนบาร์เรล/วัน) และล่าสุด วานนี้ซาอุดิอาระเบียเผยว่า จะเสนอให้กลุ่มประเทศ OPEC ขยายระยะเวลา ตัดลดการผลิตออกไปสิ้นปี 2562
การลด supply นับว่ายังสอดรับกับความต้องการใช้น้ำมันโลกที่ชะลอลงจากสงครามการค้า โดยรวมทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบแกว่งตัว ล่าสุด อยู่ที่ 66 เหรียญฯต่อบาร์เรล ใกล้เคียงสมมติฐานของ ASPS ที่กำหนดไว้ 65 เหรียญ ในปี 2562 แต่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวยืนเหนือ 60 เหรียญฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ (และกำหนด 70 เหรียญฯ นับจากปี 2563 เป็นต้นไป) ยังแนะนำสะสม PTTEP(FV@B168) และ PTT(FV@B56) โดยนักวิเคราะห์ ASPS ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำ PTT เป็นซื้อเพราะถือว่าราคาหุ้นปัจจุบัน สะท้อนผลประกอบการที่ย่ำแย่ไปแล้ว
ปัจจัยภายนอกกดดันให้ต่างชาติซื้อหุ้นในภูมิภาคน้อยลง
ความไม่สงบระหว่างปากีสถานกับอินเดียเป็นส่วนหนึ่งที่กดดันให้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเบาบางลงเหลือ 77 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8) และเป็นการซื้อสุทธิเพียง 2 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 90 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8), อินโดนีเซีย 19 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 3 ประเทศถูกขายสุทธิเล็กน้อย คือ ฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิ 23 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 7 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิ 21 ล้านเหรียญ หรือ 640 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 266 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 332 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) ด้วยแรงขายทั้งตราสารหนี้และหุ้นไทยของต่างชาติ กดดันค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้น 0.35% ในวานนี้ มาอยู่ในระดับที่ 31.4 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
งบ 4Q61 ชะลอตัวทั้ง QoQ และ YoY
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการรายงานงบฯ 4Q61 ล่าสุดจนถึงค่ำวานนี้ มีบริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการแล้วราว 433 บริษัท คิดเป็น 89% ของ Market Cap ทั้งตลาดฯ ทำกำไรสุทธิรวม 1.53 แสนล้านบาท หากเทียบกับ 4Q60 เฉพาะบริษัทที่ประกาศงบแล้ว พบว่า กำไรสุทธิลดลงถึง 36.4%yoy และเทียบกับ 3Q61 เฉพาะบริษัทที่ประกาศงบแล้วเช่นกัน กำไรสุทธิลดลงถึง 38.7%qoq หากแยกเฉพาะภาค Real Sector (ไม่รวมธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจการเงิน ประกันฯ และ Property Fund) ปรากฏว่า กำไรสุทธิรวม อยู่ที่ 1.06 แสนล้านบาท ลดลงถึง 43.2%yoy และ 41.0%qoq รายละเอียดคือ
• กลุ่มฯ ที่มีกำไรสุทธิ เติบโต yoy แต่ลดลง qoq คือ กลุ่ม ธ.พ. (ยกเว้นที่เติบโตทั้ง yoy และ qoq คือ TCAP) กลุ่มการเงิน (ยกเว้นหุ้นที่โตทั้ง yoy และ qoq คือ MTC, AEONTS, SAWAD) กลุ่มสื่อ-บันเทิง (ยกเว้น หุ้นที่โต yoy และ qoq คือ MAJOR VGI)
• กลุ่มฯ ที่มีกำไรสุทธิ เติบโต qoq แต่ลดลง yoy คือ กลุ่มค้าปลีก (หุ้นที่โต yoy และ qoq คือ CPALL HMPRO) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มอสังหาฯ (ยกเว้นหุ้นที่โต yoy และ qoq คือ LPN PSH) และกลุ่มขนส่ง (ยกเว้นหุ้นที่โต yoy และ qoq คือ AOT และBTS)
• กลุ่มฯ ที่มีกำไรสุทธิ ลดลงทั้ง yoy และ qoq คือ กลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมี (ยกเว้นหุ้นที่โต yoy และ qoq คือ GGC) กลุ่มส่งออกชิ้นส่วนฯ กลุ่มอาหาร (ยกเว้น หุ้นที่โต yoy และ qoq คือ OSP) กลุ่มโรงพยาบาล ICT และกลุ่มยานยนต์
ผลประกอบการรวมของตลาดฯ ที่ต่ำกว่าคาด และลดลงอย่างมีนัยฯ จึงมีความเป็นไปได้เมื่อประกาศครบ 100% แล้ว กำไรสุทธิรวมจะต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 2.5-2.6 แสนล้านบาท โดยทุกๆ 1 หมื่นล้านบาทที่ต่ำกว่าคาดจะมีผลต่อ EPS ราว 1 บาท/หุ้น ทั้งนี้ EPS รวมในปี 2561 ตามประมาณการเดิมของฝ่ายวิจัยคาดว่าจะอยู่ที่ราว 108 บาท/หุ้น ซึ่งอาจลงมาอยู่ที่ประมาณ 103 – 105 บาท/หุ้น ขณะที่ในปี 2562 อยู่ในระหว่างการทบทวนประมาณการ ซึ่งอาจปรับลดลงจาก EPS เดิมที่ 112.2 บาท/หุ้น
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์