WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASPบล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
SET Index    1,652.64
เปลี่ยนแปลง (จุด)    -3.09
มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท)    45,882
 
 
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท(ล้านบาท)
นักลงทุนต่างชาติ    -2,444.68
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์    281.40
นักลงทุนสถาบันในประเทศ    2,700.72
นักลงทุนรายย่อย    -537.43
 
 
กลยุทธ์การลงทุน
เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสฟื้นขึ้นทดสอบแนวต้าน 1665-1667 จุด โดยมีหุ้นน้ำมันประคองตลาด หลังจากราคาน้ำมันดูไบยืนฟื้นตัวทดสอบ 65 เหรียญฯ อีกครั้ง ส่วนประเด็นการเมืองในประเทศอาจจะมีเรื่องความวุ่นวายในการยื่นให้ยุบพรรคการเมืองอื่นๆ นอกเหนือจากพรรคไทยรักษาชาติ แต่ไม่น่าจะกระทบต่อกำหนดวันเลือกตั้ง 24 มี.ค. นี้  กลยุทธ์ยังเน้นรายหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเด่นและใกล้ขึ้น XD (MAJOR, QH, LH, KKP, THANI, BBL) Top picks เลือก THANI([email protected]) และ BBL(FV@B227)      
 
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย … ดัชนีพักตัวอีกครั้ง  
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ แกว่งตัว Sideway สลับบวก-ลบในกรอบแคบตลอดวัน ก่อนจะปิดที่ 1,652.64 จุด ลดลง 3.09 จุด (-0.19%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.56 หมื่นล้านบาท ตลาดฯ แกว่งตัวลดลงในช่วงท้ายของการซื้อขาย จากประเด็นการเมือง หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องของ กกต. ยุบพรรค ไทยรักษาชาติ โดยกลุ่มที่ถูกเทขายออกมา คือ กลุ่มพลังงาน (PTT, BGRIM, BANPU) รวมถึง CPN ที่ลดลง 1.27% ขณะที่ KCE ราคาหุ้นลดลงแรงถึง 10.77% หลังมีมุมมองต่อผลการดำเนินงานปี 2562 ทึ่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น สวนทางกับกลุ่มที่หนุนตลาดคือ ICT (TRUE, ADVANC, INTUCH) 
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดตลาดยังแกว่งตัว และน่าจะติดแนวต้าน 1665-1667 จุด  โดยตลาดน่าจะผ่อนคลายปัจจัยต่างประเทศ ทั้งเรื่อง Government shutdown  และการเจรจาการค้าที่ประนีประนอมมากขึ้น และสหรัฐมีโอกาสเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนออกออกไปอีกระยะ ส่วนการเมืองในประเทศยังคงเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งกำหนดเดิม แม้ยังมีเหตุการณ์ยุบพรรคไทยรักษาชาติ และยังมีบุคคลบางกลุ่ม เตรียมยื่น กกต ให้ยุบ พรรคพลังประชารัฐ  เป็นต้น  
สหรัฐมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยปี 2562 น้อยกว่าคาด หลังดัชนีชี้นำเศรษฐกิจแย่ลง  
ความกังวลการหยุดหน่วยงานราชการสหรัฐ (Government Shutdown) ผ่อนคลายลง หลังจากวานนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ เผยว่าจะเซ็นอนุมัติงบประมาณที่ใช้ได้ถึงวันสิ้นปีงบประมาณ 2562 คือ 30 ก.ย. 2562 แม้ว่าสภาคองเกรส อนุมัติงบสร้างรั้วชายแดนสหรัฐกับเม็กซิโกวงเงิน 1.4 พันล้านเหรียญ  ซึ่งต่ำกว่า ที่ทรัมป์เสนองบสร้างกำแพงชายแดน  5.7 พันล้านเหรียญ  แต่ทรัมป์แก้เกมด้วยการใช้อำนาจประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อออกกฎหมายอนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดน โดยไม่ต้องผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส  
ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐชะลอลง เป็นเรื่องที่น่ากังวลเพิ่มขึ้น หลังดัชนีชี้นำเศรษฐกิจล้วนย่ำแย่ ล่าสุดรายงาน ยอดค้าปลีก (retail Sales) เดือน ธ.ค. หดตัว 1.2% ต่ำสุดในรอบ 9 ปี  ( สวนทางตลาดคาดจะเพิ่ม  0.2%)   ตามมาด้วย ดัชนี PMI ภาคการผลิตต่ำสุดในรอบ 1 ปี 1 เดือน, ยอดขายบ้านใหม่ และบ้านมือสอง ที่ต่ำสุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน และในรอบ 4 ปี ตามลำดับ  และ อัตราเงินเฟ้อ  ที่ชะลอตัวเหลือ 1.6%yoy ในเดือน ม.ค. จาก 1.9% ในเดือน ธ.ค. 2561   จึงทำให้เชื่อว่าจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะขึ้นดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตั้งไว้ 2 ครั้งในปีนี้  คืออาจจะขึ้นได้ 1 ครั้ง หรืออาจจะลดในช่วงปลายปีนี้ แต่เชื่อตลาดน่าจะรับรู้ไปบ้างแล้ว ส่งผลให้ Dollar Index มีแนวโน้มแกว่งตัว หลังจากแข็งค่าราว 1.2%นับตั้งแต่ต้นปี   ตรงข้ามกับเอเชียจะชะลอการแข็งค่า 
และสงครามการค้าจีนสหรัฐ ผ่อนคลายลงเช่นกัน โดยในการพบกันวันนี้ ระหว่างตัวแทนสหรัฐ กับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เพื่อเจรจาการค้ากัน  ยังมีแนวโน้มประนีประนอมอย่างต่อเนื่อง  อ้างอิงจากแหล่งข่าว Bloomberg ระบุ ว่าทรัมป์ กำลังพิจารณาเลื่อนวันกำหนดการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านเหรียญ เป็น 25% (จากเดิมเก็บ 10%) ที่จะครบกำหนดวันที่ 1 มี.ค. 2562 ออกไปอีกราว 60 วัน(ราว 1 พ.ค.) เพื่อดูท่าทีจีนอีกระยะหนึ่ง ต่อการผ่อนปรนตามที่สหรัฐเรียกร้องหรือไม่  
 
ศาลฯ นัดเริ่มพิจารณาคดียุบพรรคฯ 27 ก.พ.62 แต่ยังไม่ใช่วันตัดสิน
วานนี้ (14 ก.พ.2562) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งรับคำร้องกรณีที่ กกต. ยื่นขอให้พิจารณายุบพรรคไทยรักษาชาติ ตามความผิด มาตรา 92 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560  ซึ่งในวันเดียวกัน ตัวแทนศาลรัฐธรรมนูญได้นำส่งสำเนาคำร้อง ให้ผู้ถูกร้อง  และกำหนดให้ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภาใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับสำเนาคำร้อง (14 ก.พ.2562) ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ก.พ.2562 หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดพิจารณาคดีครั้งแรกในวันที่ 27 ก.พ. 2562 ทั้งนี้ เลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า วันนัดพิจารณาคดีครั้งแรกดังกล่าวมาข้างต้น ถือเป็นกำหนดการที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล ไม่ใช่วันตัดสิน ทั้งนี้หากได้ข้อสรุปทางคดีศาลจึงจะนัดลงมติอีกครั้งหนึ่ง  
ส่วนการดำเนินกิจกรรมหาเสียงของพรรคไทยรักษาชาติ ศาลฯ ไม่ได้มีคำสั่งห้าม แต่อย่างไรก็ตามแกนนำพรรคฯ ได้ออกมาประกาศหยุดกิจกรรมกิจกรรมการหาเสียงในรูปแบบของการปราศรัยใหญ่จากส่วนกลาง แต่ผู้สมัครแต่ละรายยังสามารถดำเนินการหาเสียงได้ต่อไป
อย่างไรก็ตามสถานการณ์แวดล้อมปัจจุบัน ยังคงสร้างความกังวลทางการเมือง เพราะนอกจากการพิจารณายุบพรรคไทยรักษาชาติแล้ว ยังมีบางบุคคลเตรียมเสนอยื่นยุบพรรคพลังประชารัฐต่อ กกต. รวมถึงการพิจารณาคดีทางการเมืองอื่นๆ แต่เชื่อว่าจะไม่มีผลให้กำหนดการเลือกตั้งที่ 24 มี.ค. 2562 เปลี่ยนแปลง ความกังวลทางจากปัจจัยการเมืองดังกล่าวจึงน่าจะเป็นผลกระทบเชิง Sentiment ระยะสั้นต่อ SET Index
งบ 4Q61 น่าผิดหวัง LPN, TASCO ยกเว้น SAT ตามคาด 
บริษัทจดทะเบียนยังทยอยประกาศงบ 4Q61  มีหลายบริษัทที่กำไรหดตัว และต่ำกว่าคาด ยกเว้น SAT ดังนี้  
LPN มีกำไรสุทธิปี 2561  1.37 พันล้านบาท (ต่ำกว่าคาด 12% เกิดจากยอดโอนฯ น้อยกว่าคาด) แต่ยังเติบโตครั้งแรกในรอบ 2 ปี จากยอดโอนโครงการที่แล้วเสร็จในปี 2561 จำนวน 11 โครงการ และการระบายสต๊อกสินค้าพร้อมอยู่ของปีก่อนๆ รวมกันสูงขึ้น 17.05% yoy และ Gross margin ขายฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่สิ้นปี 2561 LPN มี Backlog รวมมูลค่าประมาณ 9,500 ล้านบาท น่าจะรองรับเป้ารายได้ขายปี 2562 ได้ (แบ่งเป็น Backlog ในปี 2562 ประมาณ 8,000 ล้านบาท และปี 2563 ประมาณ 1,500 ล้านบาท) อย่างไรก็ตามกลยุทธ์ปีนี้เน้นขายแนวราบมากขึ้น ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำกว่าคอนโดฯ อาจสร้างแรงกดดันต่อ Gross Margin ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการ 
ตามด้วย TASCO รายงานกำไรสุทธิงวด 4Q61 อยู่ที่ 132 ล้านบาท ลดลง 76%yoy หลักๆ เกิดจากราคายางมะตอยที่ปรับลดลงแรง ในช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค. 61 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันดิบโลก นอกจากนี้ยังมีผลขาดทุนสต็อกในระดับสูง แม้ปริมาณขายยางมะตอยจะเพิ่มขึ้นกว่า 26%yoy หนุนด้วยยอดขายในประเทศ และการส่งออกไปอินโดนีเซียและเวียดนามเพิ่มขึ้น  แต่ก็ไม่สามารถช่วยชดเชยได้ โดยรวมปี 2561 TASCO มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 580 ล้านบาท ลดลง 77%yoy
แนวโน้ม 1Q62 คาดว่า จะกลับมาฟื้นตัวแรงหลังราคายางมะตอยผ่านพื้นจุดต่ำสุดในปีที่แล้วไปแล้ว โดยราคายางมะตอยปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2562 น่าจะทำให้มีการบันทึกกลับรายการขาดทุนสต็อกได้ นอกจากนี้ คำสั่งซื้อจากจีนกลับมาเพิ่มขึ้น รวมทั้งตลาดในประเทศจะเข้าสู่ช่วง High Season ของการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท น่าจะทำให้ TASCO มีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวดีขึ้นทั้งยอดขายและอัตรากำไรใน 1Q62 โดยรวมคาดปี 2562 คาดกำไรสุทธิเติบโตกว่า 2 เท่าตัว จึงยังแนะนำ ซื้อ Fair Value ที่ 16.75 บาท 
และ SAT งวด 4Q61 กำไรปกติตามคาดอยู่ที่ 256 ล้านบาท เติบโต 49% YoY (สูงกว่า  Consensus คาดไว้ 8%) หนุนด้วย Gross Margin ฟื้นตัวจาก 14% ช่วงเดียวกันปีก่อนมาอยู่ที่ 20% ชดเชยยอดขายที่ลดลง 5% yoy ขณะที่กำไรปกติปี 2561 อยู่ที่ 912 ล้านบาท ขยายตัว 31% yoy ด้านสถานะการเงินเป็น Net Cash 1,759 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มกำไรปกติปี 2562 คาดอยู่ที่ 1,010 ล้านบาท เติบโต 10.8% yoy โดยประเมินยอดขายเพิ่ม 6.9% YoY ภายใต้สมมติฐานยอดผลิตรถยนต์ที่ 2.2 ล้านคัน (+2% yoy) และรับรู้ออเดอร์ใหม่จากผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในสหรัฐฯ (Tier -1) เต็มปีประมาณ 400 ล้านบาท ด้าน Gross Margin คาดการณ์สูงขึ้นจาก 18.4% ปีก่อนเป็น 18.5% ผลของการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) 
สำหรับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายสำรองผลประโยชน์พนักงานตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ซึ่ง SAT ประเมินค่าใช้จ่ายไว้ที่ราว 32 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนเพียง 2% ของค่าใช้จ่ายพนักงานฯ) และคิดเป็นเพียง 3% ของประมาณการกำไรปกติทั้งปี อีกทั้งไม่ใช่รายการเงินสด เป็นเพียงรายการทางบัญชีและเกิดขึ้นครั้งเดียว ทำให้ผลกระทบต่อกำไรปกติจำกัด ฝ่ายวิจัยจึงยังแนะนำ ซื้อ Fair Value ที่ 29.00 บาท โดยมีจุดเด่นที่ Dividend Yield ทั้งนี้ SAT ประกาศจ่ายปันผลงวด 2H61 หุ้นละ 1 บาท สูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คิดเป็น Div Yield 5.4% ขึ้น XD วันที่ 27 ก.พ. 62 ส่วนปี 2562 คาดว่า Div. yield จะสูงถึง 7.4%
ต่างชาติยังเดินหน้าขายหุ้นไทยเป็นวันที่ 5 
วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค 241 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน) โดยเป็นการขายสุทธิแทบทุกประเทศยกเว้นตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียวที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 5 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 ประเทศ ต่างชาติขายสุทธิทุกแห่ง นำโดยไต้หวันถูกขายสุทธิ 68 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิวัน 6 ติดต่อกัน), เกาหลีใต้ 31 ล้านเหรียญ (หลังซื้อสุทธิเพียงวันเดียว), อินโดนีเซีย 68 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5) และไทยต่างชาติขายสุทธิกว่า 78 ล้านเหรียญ หรือ 2.44 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 5 มีมูลค่ารวม 6.8 พันล้านบาท) สวนทางกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 2.7 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 โดยมูลค่ารวมกว่า 7.6 พันล้านบาท)
ปัจจัยภายในประเทศยังคลุมเครือกดดันให้ Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยติดต่อกันแล้ว 5 วัน รวมถึงวานนี้ต่างชาติยังขาย Short สัญญา SET50 Futures อีกกว่า 1.49 หมื่นสัญญา (มากสุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ต้นปี 2562) อีกทั้งยังขายสุทธิตราสารหนี้ไทย 1.28 พันล้านบาท 
 
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
 ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
 โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
   ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!