- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 14 February 2019 20:46
- Hits: 4980
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Earnings and Laggard Plays//Accumulated on Weakness
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวบวกขึ้นได้ค่อนข้างดี 13.24 จุดจากปัจจัยต่างประเทศที่มีพัฒนาการเชิงบวกทั้งการหลีกเลี่ยง Government Shutdown และสงครามการค้าของฝั่งสหรัฐฯ สถาบันในประเทศยังซื้อสุทธิต่อเนื่องและหนาแน่นขึ้นเป็น 3.7 พันลบ. อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิอีก 1.4 พันลบ. (และ Short ใน Index Futures 1.7 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index มีโอกาสแกว่งตัวขึ้นทดสอบบริเวณ 1,660-1,665 จุดอีกครั้งจากความคาดหวังเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในช่วง 2 วันนี้ว่าจะมีโอกาสบรรลุข้อตกลงระหว่างกันได้และเป็นตัวกำหนดทิศทางดัชนีในอนาคต ขณะที่ท่าทีทรัมป์เริ่มอ่อนลงเรื่องการสร้างกำแพงและกล่าวว่าจะไม่เกิด Government Shutdown ขึ้นอีก ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องในประเด็นการยุบพรรคทษช. โดยรวมเรามองว่าหุ้นในกลุ่ม Global Play ยังจะสามารถ Outperform ต่อได้ในระยะนี้ และยังมองการอ่อนตัวของตลาดเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นกลับหลังแนะนำทำกำไรระยะสั้นไปสัปดาห์ก่อน
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้นที่คาดกำไร 4Q18 โดดเด่นและหุ้นที่ยัง Laggard//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานกลับในช่วงอ่อนตัว
หุ้นเด่นเดือน ก.พ : EA, ERW, GLOBAL, SAPPE, SEAFCO
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$260ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าไต้หวัน US$287ล้าน ขณะที่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$98ล้าน และไทย US$44ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคหลังตลาดมีความหวังเชิงบวกต่อการเจรจาทางการค้าสหรัฐและจีน
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> TOP <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 86 บาท (ตัดขาดทุน 74.5 บาท)
คาดงบ 4Q18 พลิกเป็นขาดทุนราว 3.6 พันลบ. เพราะ Stock loss และค่าการกลั่นทรุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้อยู่แล้ว ขณะที่ กำไรทั้งปี 2018 จะ -54% Y-Y เหลือ 1.14 หมื่นลบ. ก่อนจะเด้ง 24% Y-Y อยู่ที่ 1.41 หมื่นลบ. ในปี 2019
มาตรการ IMO ที่มีผล 1 ม.ค. 20 จะทำให้ส่วนต่างน้ำมันดีเซลค่อยๆขยับขึ้น ถือเป็นบวกกับ TOP โดยตรง
ระยะสั้นได้ Sentiment บวกจากการฟื้นของราคาน้ำมัน และคาดปันผลเฉพาะ 2H18 ที่ 3-4%
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) การเมืองยังต้องติดตาม วันนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณารับคำร้องยุบพรรคไทยรักษาชาติตามที่ กกต. ยื่นไปเมื่อวานนี้ โดยทางพรรคไทยรักษาชาติจะยื่นชี้แจ้งข้อเท็จจริงคู่ไปด้วย แต่การหาเสียงระหว่างพิจารณาจะทำได้ต่อไปหรือไม่ขึ้นอยู่กับความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่เกิดขึ้นยังไม่กระทบเงื่อนเวลาการเลือกตั้ง 24 มี.ค. 19 แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงภาพความขัดแย้ง ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะสั้น กระแสเงินทุนต่างชาติจึงยังมีแนวโน้มไหลออกต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ต้นปีต่างชาติซื้อสุทธิเหลือเพียง 3.8 พันลบ.
(0) AOT กำไรสุทธิ 1Q19 (ต.ค. - ธ.ค. 18) อยู่ที่ 6,376 ลบ. +21.5% Q-Q, +2.5% Y-Y ต่ำกว่าคาดการณ์ของเราที่ 6,515 ลบ.เล็กน้อย โดยกำไรที่โตแรง Q-Q ,มาจากปัจจัยฤดูกาลที่เป็น High Season และค่าใช้จ่ายพนักงานที่ลดลงกลับสู่ระดับปกติ ส่วนเมื่อเทียบ Y-Y ที่โตน้อยเพราะผู้โดยสารยังถูกกระทบจากการชะลอของนักท่องเที่ยวจีน และอัตรากำไรจากการดำเนินลดเหลือ 55.9% จาก 56.2% ใน 1Q18 จากค่าซ่อมบำรุงและค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นจากการจัดโปรโมชั่นให้สายการบินช่วง Off Peak (02.00 - 06.59 น.) แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q19 (ม.ค. - มี.ค. 19) คาดเติบโตเล็กน้อย Y-Y เพราะฐานปีก่อนสูง และนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาเต็มตัว และด้วยราคาหุ้นปัจจุบันเหลือ Upside เพียง 5.8% เมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายของเราที่ 73 บาท อีกทั้งหากไม่สามารถสร้าง Terminal 2 ได้ จะทำให้ความน่าสนใจระยะยาวเหลือน้อยลง เราจึงแนะนำเพียงถือ หรือเปลี่ยนไปลงทุนใน BAFS แทน
(+) PRM ประกาศแผนขยายกองเรือต่อเนื่อง และจะซื้อหุ้น BIG SEA เพิ่มอีก 10% เป็น 80% เรามองบวกกับแผนขยายกองเรือ เพราะอุปสงค์ในประเทศจากกลุ่ม ปตท. ยังแข็งแกร่ง และความต้องการเรือเก็บน้ำมันในต่างประเทศเริ่มฟื้นตัว ซึ่ง Key Suscecc Factor ของธุรกิจนี้คือการเพิ่มปริมาณ เพราะไม่สามารถควบคุมค่าขนส่งได้ เราคาดว่ากำไรของ PRM ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 4Q17-1Q18 ส่วนแนวโน้ม 4Q18 คาดทรงตัว Q-Q เพราะไม่มีกำไรจากการขายเรือเหมือ 3Q18 ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวอย่างโดดเด่นตั้งแต่ 1Q19 จะช่วยเพิ่มคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 9 บาท
(+) CK แนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q18 มีโอกาสดีกว่าที่เราคาดไว้ที่ 315 ลบ. เนื่องจากมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น BEM และ CKP ราว 200 ลบ. คาดหนุนให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 515 ลบ. (-60% Q-Q, +140% Y-Y) ยังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 33 บาท โดยมีปัจจัยบวกจากการเร่งผลักดัน 21 โครงการลงทุนใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 1.29 ล้านลบ. เข้าครม.ภายใน 1Q19
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
14 ก.พ. - จีน: ดุลการค้า (ม.ค.)
14-15 ก.พ. - เจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน (เจ้าหน้าที่ระดับสูง)
15 ก.พ. - จีน: อัตราเงินเฟ้อ (ม.ค.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น หลัง Trade War มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รวมถึงอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ทรงตัว ทำให้โอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ยิ่งน้อยลง
(+) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้น จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่าคาด
(0) ตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวผสมผสาน หลังนักลงทุนรอดูตัวเลขการส่งออกเดือนม.ค.ของจีนที่อาจต่ำกว่าคาด และความคืบหน้าในการเจรจากันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน-สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน มี.ค. เพิ่มขึ้น +0.80 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 53.90 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังซาอุฯปรับลดเป้าการส่งออกในเดือน มี.ค. ลงอีก 5 แสนบาร์เรล/วัน
(+) ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้น +1.10 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1315.1 ดอลลาร์/ออนซ์
(-) ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 31.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
Contact person : Jitra Amornthum
Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research