- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 February 2019 17:04
- Hits: 3276
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
SET Index 1,638.00
เปลี่ยนแปลง (จุด) -13.68
มูลค่าการซื้อขาย (ล้านบาท) 40,671
ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท(ล้านบาท)
นักลงทุนต่างชาติ -1,590.41
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 888.64
นักลงทุนสถาบันในประเทศ -2,266.56
นักลงทุนรายย่อย 2,968.33
กลยุทธ์การลงทุน
ปัจจัยกดดันในประเทศ และต่างประเทศมีน้ำหนักมากขึ้น การเมืองในประเทศ ที่ยังมีความเสี่ยง และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากผลกระทบสงครามทางการค้า แม้สะท้อนในตลาดหุ้นไปบ้างก็แล้วตาม คาด SET Index แกว่งตัวลงในกรอบ 1628-1640 จุด กลยุทธ์ยังเน้นรายหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเด่น (MAJOR, QH, LH, KKP) Top pick เลือก MAJOR(FV@B29)
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …ปรับฐานรอบใหม่
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ร้อนแรงทั้งปัจจัยภายนอก และการเมืองในประเทศ ซึ่งเป็นผลให้ระหว่างวันดัชนีลดลงไปมากถึง 18 จุด ก่อนจะรีบาวด์ขึ้นมาปิดที่ระดับ 1638.00 จุด ลดลง 13.68 จุด (-0.83%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.06 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการปรับตัวลดลงของทุกกลุ่มฯ นำด้วยกลุ่ม ICT (ADVANC INTUCH) กลุ่มพลังงาน (PTT PTTEP EA) และกลุ่มธ.พ. (KBANK SCB) ขณะที่หุ้นขนาดเล็กหลายตัวใน MAI เคลื่อนไหวสวนทาง SET Index
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังอยู่ในช่วงปรับฐาน โดยมีแนวรับ-ต้าน กรอบ 1628-1640 จุด ความกังวลจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศมีน้ำหนักมากขึ้น แม้จะพรรรคการเมือง สามารถเดินหน้าทำกิจกรรมทางการเมืองได้เต็มที่แต่บรรยากาศยังดูขมุกขมัว และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวชัดเจนขึ้น จากผลกระทบจากสงครามการค้า โดยแม้คู่จีน-สหรัฐ เริ่มผ่อนคลาย แต่สหรัฐกลับเตรียม ขึ้นภาษี Safe Guard กับรถยนต์จากหลายประเทศ ทั้งยุโรป แคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยกดดันใหม่ ส่วนการประกาศจ่ายเงินปันผลในงวด 2H61 จะทยอยขึ้น XD วันนี้เริ่มจาก PTTEP หุ้นละ 3.25 บาท
ความกังวล..Government Shutdown กลับมาอีกครั้ง & สหรัฐกีดกันการค้ายุโรป
ดังที่ได้นำเสนอใน Market talk วานนี้ ถึงความเสี่ยงเรื่องการกีดกันการค้าของสหรัฐ ต่อการนำเข้ารถยนต์จากทั่วโลก มีน้ำหนักมากขึ้น เพราะวันที่ 17 ก.พ. นี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) จะประกาศ รายชื่อประเทศที่จะถูกเก็บภาษีนำเข้า(Safe Guard) คือ รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ (สินค้าที่สหรัฐนำเข้าอันดับ 1 มูลค่า 2.95 แสนล้านเหรียญ ราว 12% ของยอดนำเข้าทั้งหมด) เป็น 25% จากเดิม 2% ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากสุด เรียงลำดับจากประเทศที่ส่งออกไปสหรัฐมากไปน้อย คือ เม็กซิโกราว 28.6% ของสหรัฐนำเข้าทั่วโลก รองลงมาคือ แคนาดา ราว 19.1% ยุโรป ราว 19% และญี่ปุ่น ราว 17.6% ส่วนไทยกระทบเล็กน้อย จากส่วนแบ่งตลาดสหรัฐราว 1.04 พันล้านเหรียญ หรือ 0.44%
อย่างไรก็ตาม คาดเม็กซิโกและแคนาดา กระทบจำกัด เพราะได้มีข้อตกลงการค้าใหม่ภายใต้ USMCA (แทน NAFTA) ผู้ที่ได้รับผลกระทบจึงน่าจะเป็นยุโรป มากกว่า ซึ่งตอกย้ำปัญหาในกลุ่มฯ ที่ยังมีอยู่ รวมถึง Brexit ซึ่งวานนี้ อังกฤษรายงาน GDP Growth งวด 4Q61ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 6 ปี 1.3%yoy ชะลอจากงวด 3Q61 ที่ 1.6% หลักๆเป็นผลจากการส่งออก และการลงทุนรวมที่หดตัว 0.9% และ 1.4% ตามลำดับ แต่ตลอดปี 2561 GDP Growth เฉลี่ย 1.4% ใกล้เคียงกับที่ IMF ที่คาดราวปีละ 1.55% ปีนี้และปีหน้า
และ 15 ก.พ.2562 ถึงคราวต้องพิจารณางบประมาณสหรัฐ หลังจากที่ผ่านประมาณไปชั่วคราว ซึ่งหากผ่านครั้งนี้จะใช้ไปได้จนถึงวันสิ้นปีงบประมาณคือ ก.ย.2562 เชื่อว่าประธานาธิบดีทรัมป์ จะต้องเสนอให้อนุมัติงบก่อสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโก 5.7 พันล้านเหรียญ เพื่อต่อรองในการพิจารณาผ่านงบ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิด Government Shutdown อีกครั้ง (หลังจากรอบที่ผ่านมามีการปิดหน่วยงานราชการรวมทั้งหมด 35 วัน) น่ากดดันต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐเพียงสั้น ๆ
การเมืองร้อนแรง เพิ่มระดับความกังวลให้กับตลาดฯ
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมบ่ายวานนี้ (11 ก.พ. 2562) และได้มีการประกาศรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้รัฐสภาแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 69 คน จาก 45 พรรคการเมือง ทั้งนี้ไม่ปรากฎพระนามของ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งได้รับการเสนอชื่อโดยพรรคไทยรักษาชาติ
และวันนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งจะมีการประชุมต่อเนื่อง โดยมีวาระสำคัญ คือจะพิจารณาว่าจะยุบหรือ ไม่ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งมีการกระทำที่อาจเข้าองค์ประกอบความผิดในประกาศ กกต. ว่าด้วยการหาเสียงเลือกตั้ง และ พ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมือง (มาตรา 90) ทั้งนี้หากมีมติว่าไม่เข้าองค์ประกอบความผิด พรรคไทยรักษาชาติก็จะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งตามกลไกปกติ แต่หาก กกต. เห็นว่าเข้าองค์ประกอบความผิดที่จะต้องยุบพรรค ก็จะยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิจารณาสั่งยุบพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งกรณีนี้นำมาซึ่งความไม่แน่นอน เริ่มจากเรื่องกรอบเวลาในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
โดยหากมีคำสั่งให้ยุบพรรคก่อนวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562 ผู้สมัครของ พรรคไทยรักษาชาติ ก็จะถูกตัดสิทธิการเป็นผู้สมัครไปด้วย (เพราะถึงแม้จะย้ายพรรคได้แต่ก็ติดเงื่อนไขที่ต้องสังกัดพรรค 90 วัน) แต่หากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคหลังจากที่รู้ผลการเลือกตั้งแล้ว ส.ส. ของพรรคไทยรักษาชาติ ที่ชนะการเลือกตั้ง สามารถที่จะย้ายพรรคได้ตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในกรณีนี้ไม่น่าจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่มีความร้อนแรง และมีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะการชะลอตัวของ Fund Flow ที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งมีผลทำให้ SET Index ผันผวนไปตามกระแสข่าวได้มากขึ้น
VGI, MACO กำไร 4Q61 ทำสถิติสูงใหม่ทั้งคู่
ค่ำวานนี้มีบริษัทจดทะเบียนรายงานผลการดำเนินงานเพิ่มเติมอีก 2 บริษัท คือ MACO กำไรสุทธิงวด 4Q61 อยู่ที่ 90 ล้านบาท เติบโต 23.5%yoy และ 32%qoq ส่งผลให้ทั้งปี 2561 กำไรสุทธิรวมที่ 273 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเติบโตเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน จากการปรับกลยุทธ์ป้ายโฆษณาเป็นป้ายดิจิทัลแทนป้ายนิ่ง และการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
ตามด้วย VGI รายงานกำไรสุทธิ 3Q61/62 สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ที่ 309 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.8%yoy และ 18.8%qoq ปัจจัยหนุนหลักมาจาก ธุรกิจบริการด้านดิจิทัล (สัดส่วน 34.1ของรายได้รวม) เติบโตสูงถึง 498.9%yoy จากการควบรวมงบการเงินของกลุ่ม Trans.Ad โดย MACO แบบเต็มไตรมาส รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้ของธุรกิจต่างๆ ภายใต้ Rabbit Group รวมถึงรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านขยายตัวในอัตราปกติ 8.2% YoY จากทั้งสื่อในอาคารสำนักงาน สื่อโฆษณากลางแจ้ง และสื่อบนระบบ BTS
ฝ่ายวิจัยคาดว่าผลการดำเนินงานยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากพื้นที่สื่อที่จะเพิ่มขึ้นจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าเส้นใหม่, การร่วมมือกับ Kerry รวมไปถึงธุรกิจของแรบบิทกรุ๊ปที่มีทิศทางดีขึ้นตามการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งาน และการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศของ MACO โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนหุ้นสื่อโฆษณาอื่นๆ ที่จะรายงานงบฯ หลังจากนี้ คือ PLANB ฝ่ายวิจัยคาดมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 197 ล้านบาท เติบโตอย่างโดดเด่น 123% YoY ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง สาเหตุที่กำไร 4Q61 เติบโตอย่างก้าวกระโดดเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำ เนื่องจาก 4Q60 ยังอยู่ช่วงพระราชพิธี และมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายพื้นที่ให้บริการสื่อโดยเฉพาะจอดิจิทัลขนาดใหญ่ที่หน้าห้าง CentralWorld และสื่อโฆษณาในสนามบินสุวรรณภูมิ โดยคาดว่ารายได้จากการขายสื่อโฆษณาจะเกินระดับ 1 พันล้านบาท อัตราการใช้สื่อโฆษณาเติบโตเพิ่มเป็น 75% (4Q60 ที่ 69%, 3Q61 ที่ 74%) นอกจากนี้ยังรับรู้รายได้และกำไรจากการควบรวมงบการเงินกับบริษัท BNK Office ที่ถือหุ้นสัดส่วน 35% โดยคาดรายได้ BNK48 ใน 4Q61 ไว้ประมาณ 130 ล้านบาท Net Margin ประมาณ 20-25%
ต่างชาติยังขายหุ้นไทย และรอบนี้ MSCI ไม่มีการปรับเปลี่ยนหุ้นไทย
วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค 342 ล้านเหรียญ แต่แรงซื้อส่วนใหญ่เกิดขึ้นเฉพาะในตลาดหุ้นไต้หวันสูงถึง 449 ล้านเหรียญ (หลังจากหยุดช่วงตรุษจีนยาว 1 สัปดาห์) เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ยังซื้อสุทธิ 2 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 7) ส่วนตลาดหุ้นอีก 3 แห่งขายสุทธิ คือ เกาหลีใต้ขายสุทธิ 49 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 10 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และไทยขายสุทธิ 51 ล้านเหรียญ หรือ 1.59 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 2.27 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน)
เช้านี้ MSCI มีการรายงานการปรับพอร์ตหุ้น (Rebalance) ช่วงต้นเดือน มี.ค. 62 พบว่า ในรอบนี้ไม่มีหุ้นไทยถูกคัดเข้า-ออกจากดัชนี (ปกติแล้วหุ้นไทยจะถูกคัดเข้า-ออก ในเดือนมิถุนายนและธันวาคม ซึ่งเป็นการปรับพอร์ตครั้งใหญ่ของ MSCI) ส่วนรอบนี้มีหุ้นที่ถูกคัดเข้าดัชนี MSCI Global Standard เพียง 17 บริษัท (เป็นหุ้นจีนมากสุด 12 บริษัท หนึ่งในนั้น คือ บริษัท Xiaomi ตามมาด้วยสหรัฐ 3 บริษัท, ไต้หวัน 1 บริษัท และเนเธอร์แลนด์ 1 บริษัท) ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกมี 1 บริษัท (เป็นหุ้นสหรัฐ)
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์