------------

 Market Outlook

 

วานนี้ SET Index ปิดที่ 1,548.37 จุด -8.56 จุด (-0.55%) มูลค่าซื้อขายราว 5 หมื่น ลบ. โดยต่างชาติขายสุทธิ 8 พัน ลบ.สวนทางกับสถาบันซื้อสุทธิ 4.5 พัน ลบ. ส่วนวันนี้เรามองตลาดยังคงผันผวนแม้เป็นช่วงปลายปี โดยคาดดัชนี SET Index ลงไปทดสอบแนวรับ 1541 จุด เพื่อรีบาวด์กลับขึ้นมา หลังมีสัญญาณ Oversold โดยประเมินแนวต้านแรกที่ 1,550 จุด หากผ่านได้คาดขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1,560 จุด

Market Factors

 

(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วานนี้แม้ช่วงเช้าจะมีแรงกดดันจากทั้งตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นการบริโภคของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. ที่ออกมาแย่กว่าคาด และแรงกดดันจากกระแสข่าวที่นายโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมลงนามในคำสั่งห้ามสหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจาก HUAWEI และ ZTE ในช่วงที่เจรจาด้านการค้ากับจีน แต่ในช่วงบ่ายมีแรงรีบาวด์กลับได้หลัง USTR เปิดเผยรายชื่อสินค้าจีนที่ถูกเก็บภาษีตั้งแต่ 1 ก.ค. จำนวน 984 รายการ ซึ่งแม้จะยังเป็นจำนวน ไม่มากเมื่อเทียบกับรายการที่ถูกเก็บภาษีทั้งหมด 12,109 รายการ แต่เป็น Sentiment บวกต่อทิศทางการพูดคุยระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 ม.ค.

(-) วานนี้ รมว.พาณิชย์ประชุมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข รพ.เอกชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และบริษัทประกันภัย เพื่อหาแนวทางกำกับดูแลค่ารักษาพยาบาล โดยได้ข้อสรุปร่วมกันที่จะเสนอให้นำรายการยาและเวชภัณฑ์ และค่าบริการ เช่น ค่าห้องพักฟื้น ค่าอาหาร ค่าเอกซเรย์ เข้ามาอยู่ในบัญชีสินค้าและบริการควบคุม โดยจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่มี รมว.พาณิชย์ เป็นประธานในวันที่ 9 ม.ค.62 ส่วนมาตรการที่จะนำมาใช้กับยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงค่าบริการนั้นจะเป็นการกำหนดราคาเพดานส่วนต่างของกำไรที่จะบวกเพิ่มจากต้นทุนยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงค่าบริการว่าได้ กี่เท่า ไม่ให้เป็นภาระกับผู้บริโภคจนเกินไป (โพสต์ทูเดย์)

 

 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ เรายังมองดัชนีจะยืนเหนือแนวรับ 1,540 จุดจนถึงสิ้นปีนี้ และอาจปรับขึ้นต่อเพื่อปิด Gap 1,591 จุดในช่วงต้นปีหน้า โดยมีแนวรับ-แนวต้านที่ 1,540–1,600 จุด (Fwd PE Valuation ที่ 1-14.7) ซึ่งเราเริ่มเห็นสัญญาณรีบาวด์ของราคาน้ำมันดิบหลัง Downside Risk ค่อนข้างจำกัด แต่อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังต้องระวังประเด็น Trade Wars สหรัฐฯ-จีนที่ไม่ชัดเจน ดังนั้นในช่วงนี้เราแนะนำทยอยสะสมหุ้น Domestic Play ขนาดกลาง-ใหญ่ 3 กลุ่มที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะกลุ่ม ดังนี้

กลุ่มสื่อ ซึ่งมีฐานต่ำในปีก่อน จากได้รับผลกระทบจากการขึ้นป้ายไว้อาลัยบวกกับคาดเม็ดเงินโฆษณามีทิศทางสดใสขึ้นรับผลบวกในช่วงเม็ดเงินโฆษณาภาคเอกชนยังโตต่อเนื่อง แนะนำ PLANB (แผนขยาย Media Capacity 15-20%YoY ให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น และสร้างจุดเด่นด้วย Engagement Marketing พร้อมแผนต่อยอดธุรกิจ Sport Marketing ด้วยการลงทุนในร้านนำเข้าสินค้ากีฬาภายใน้แบรนด์ ATMOS), VGI (รับรู้รายได้ป้ายโฆษณาบนสถานี BTS ที่เพิ่มขึ้นตามการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายใหม่ ส่วน MACO ยังมีผลดำเนินงานดีต่อเนื่องจากแผนปรับปรุงจอโฆษณาจาก Static เป็น Digital ในหลายพื้นที่ บวกกับคาดมีแรงหนุนจากSynergy ในกลุ่มธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น พร้อมแผน M&A อีก 2-3 บริษัทในปีหน้าเพื่อก้าวสู่การเป็น Marketing Solution), และ MAJOR (รายได้ธุรกิจโรงหนังที่มีแนวโน้มปรับตัวดีตามไลน์หนังฟอร์มยักษ์มีความน่าสนใจมากขึ้น สะท้อนได้ด้วยรายได้ Box Office เดือน ต.ค. โต8%YoY บวกกับมีหนังไทยที่ทำเงินดีอย่าง นาคี 2 (441.2 ลบ.) ขณะที่ธุรกิจสื่อคาดได้แรงหนุนจากการเซ็นสัญญาให้บริการลูกค้าใหม่ที่เลื่อนมาจากช่วง 3Q61)

กลุ่มค้าปลีก มองช่วง 4Q61 กำลังซื้อจะดีกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าที่อยู่ในช่วงไว้อาลัยนอกจากนี้ปีหน้ายังมีอานิสงส์บวกจากมาตรการคืน VAT 5% ให้ประชาชนทุกคนที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตผูกบัญชีพร้อมเพย์ ตั้งแต่ 1-15 ก.พ. 62 เพื่อกระตุ้นนโยบายE-Payment เลือก ROBINS (คาดโตจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นเพราะเปิดสาขาใหม่ และกลยุทธ์ปรับ Product Mixed มาเน้นขายสินค้าในกลุ่ม Private Brand มากขึ้น) และCPN (คาดโตจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่ และการปรับปรุงศูนย์การค้าที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว ควบคู่กับการบริหารต้นทุนการดำเนินงาน โดยปัจจุบัน CPN บริหารจัดการศูนย์การค้า 33 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 7 ล้าน ตร.ม. เพิ่มจาก 1.6 ล้าน ตร.ม. ณ สิ้นช่วง 3Q60)

กลุ่มนิคม มองได้อานิสงส์บวกจากการเลือกตั้งที่มีความคืบหน้าชัดเจนขึ้นคาดหนุนทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC โตเด่นแนะนำ AMATA (ปัจจุบันมีพื้นที่รอการขาย 2,777 ไร่ และพื้นที่รอการพัฒนาอีกราว 8,172 ไร่), WHA (ปี62 ตั้งเป้าขายที่ดินในนิคมไม่ต่ำกว่า 1,000 ไร่ พร้อมคาดได้รับลูกค้าคลังสินค้าเพิ่มขึ้นอีกกว่า1 แสน ตรม.)