- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 28 December 2018 14:12
- Hits: 5427
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Stay in Domestic and Dividend Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ยังแกว่งตัวผันผวนโดยเปิดกระโดดราว 30 จุดขึ้นไปทดสอบระดับ 1,585 จุดก่อนที่จะค่อยๆซึมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขายที่ดัชนีย้อนลงมาปิดลบ 8.56 จุด ณ สิ้นวัน สถาบันในประเทศซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 4.5 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ 1.8 พันลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเนื่องจากเป็นวันทาการสุดท้ายของปี อย่างไรก็ตามความผัวผวนในตลาดยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง และยังมีประเด็นกดดันทั้ง Government Shutdown ของสหรัฐฯที่ยืดเยื้อ รวมถึงประเด็นสงครามการค้าที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะที่ราคาน้ามันดิบกลับมาอ่อนตัวลงอีกครั้งทาให้กลุ่มพลังงานยังถ่วงตลาด เรายังมองว่าหุ้น Domestic Play ที่จ่ายปันผลสูงน่าจะยัง Outperform ตลาด
กลยุทธ์ : ยังเน้นลงทุนหุ้นในกลุ่ม Domestic และ Dividend Play
หุ้นเด่นเดือนธ.ค. : ADVANC, AOT, BCH, CK, SISB
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค US$342ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลเข้าไต้หวัน US$270ล้าน ขณะที่ไหลออกจากไทย US$56ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาคจากกระแสข่าวว่าจีนและสหรัฐจะเดินหน้าเจรจาทางการค้าหลังปีใหม่
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> BEM <<
- แนะนาซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2019 เท่ากับ 11.70 บาท
-การขยายสัมปทานไปถึงปี 2057 เพื่อแลกกับค่าปรับ 1.3 แสนลบ. ของ กทพ. ทาให้ความกังวลด้านการเติบโตในระยะยาวถูกปลดล็อค ซึ่งลักษณะธุรกิจทีกระแสเงินสดผันผวนต่า ถือเป็น Defensive Stock ที่เหมาะกับการถือลงทุนในภาวะปัจจุบัน
- คาดกาไร 4Q18 โต Y-Y จากปริมาณรถ+ผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น การปรับเพิ่มค่าโดยสารสายสีน้าเงิน และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง ส่วนกาไรทั้งปี 2018 คาด +13% Y-Y อยู่ที่ 3.5 พันลบ.
ประเด็นสาคัญวันนี้
(0) สรุปภาพการลงทุนปี 2018 เป็นปีแรกในรอบกว่าสิบปีที่สินทรัพย์ลงทุนทุกประเภทให้ผลตอบแทนเป็นลบ ราคาน้ามันปรับลง 29% ตลาดหุ้น EM -17% แย่กว่าตลาด DM ที่ -12% ราคาหุ้น Small cap. ร่วงแรงกว่าหุ้น Big cap. ทั้งที่เริ่มต้นปีด้วยภาพที่สดใส ความเสี่ยงสาคัญที่คือสงครามการค้าสหรัฐ-จีน การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ถึง 4 ครั้ง และมีความเสี่ยงปลีกย่อยจากปัญหาหนี้อิตาลีและ Brexit ที่ยืดเยื้อ ส่วนหุ้นบ้านเราที่ Underperfrom มากสุดคือ บันเทิง รับเหมา อาหาร ท่องเที่ยว และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในแต่ละปีมักมีกลุ่มที่ Underperform อย่างน้อย 1 กลุ่มกลับมา Outperform โดดเด่นในปีถัดไป ถ้าอิงจากโมเมนตัมของกาไร กลุ่มที่มีโอกาสกลับมา Outperform ในปีหน้ามากที่สุดคือ ท่องเที่ยวและรับเหมา
(+) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เราคาดกาไรสุทธิ 4Q18 ของกลุ่มที่ 4.8 หมื่นลบ. ลดลง 10.8% Q-Q แต่เพิ่มขึ้น 18% Y-Y กาไรที่คาดว่าจะลดลง Q-Q เกิดจากกาไรจากการขายเงินลงทุนที่ลดลง (TMB ขาย TMBAM) หากไม่นับรายการดังกล่าว คาดว่ากาไรปกติจะลดลงราว 5% Q-Q เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล ส่วนกาไรที่ดีขึ้น Y-Y เกิดจากค่าใช้จ่ายสารองหนี้สูญที่ลดลงตามคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในธนาคารขนาดใหญ่ เราคาดว่ากาไรสุทธิของ KTB และ BBL จะโตได้ทั้ง Q-Q และ Y-Y หากกาไรสุทธิ 4Q18 เป็นไปตามที่เราคาด จะทาให้กาไรสุทธิปี 2018 ของกลุ่มอยู่ที่ 2.07 แสนลบ. +12.6% Y-Y โตดีสุดในรอบ 5 ปี เราเห็นแนวโน้มที่ดีของรายได้ดอกเบี้ยรับ และการควบคุม CoF ได้ดีขึ้น แต่ได้รับแรงกดดันจากรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ชะลอตัวลง ธนาคารที่คาดว่าจะมีการเติบโตของกาไรดีที่สุดในปี 2018 คือ KTB (แนะนาซื้อ ราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 23 บาท) และ TMB (แนะนา ซื้อ ราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 2.64 บาท)
(0) KSL ประกาศกาไรสุทธิ 4Q18 (เดือน ส.ค. - ต.ค.) ที่ 114 ลบ. หากไม่รวมรายการพิเศษจานวนมาก พบว่าผลการดาเนินงานหลักขาดทุน -562 ลบ. (4Q17 ขาดทุน -1.55 พันลบ., 3Q18 ขาดทุน -95 ลบ.) แม้จะขายน้าตาลได้เยอะ แต่ถูกหักล้างด้วยราคาขายเฉลี่ยลดลง บวกกับเป็น Low Season ของธุรกิจไฟฟ้า ทาให้อัตรากาไรขั้นต้นเหลือเพียง 5.3% จาก 13.8% ใน 3Q18 ส่วนกาไรสุทธิทั้งปี 2018 (ปิดงวด ต.ค.) อยู่ที่ 848 ลบ. -57% Y-Y หากไม่รวมกาไรพิเศษ จะมีกาไรปกติเพียง 149 ลบ. แนวโน้มปีหน้าดูไม่แย่ลงจากปีนี้ แต่ยังไม่สดใส เพราะราคาน้าตาลตลาดโลกต่าเพียง 12-13 เซนต์ต่อปอนด์ แต่ก็น่าจะใกล้ Bottom แล้ว รอเพียงปัจจัยกระตุ้นให้ราคาน้าตาลกลับมาปรับขึ้น ค่อยเข้าเก็งกาไร คงราคาเป้าหมายปีหน้า 3.5 บาท
(+) GPSC กกพ.เห็นชอบในหลักการให้ควบรวม GLOW ได้ แต่ GLOW ต้องขาย SPP1 กาลังผลิต 124MW ที่ตั้งอยู่ในนิคมของ WHA เพื่อจบปัญหาการผูกขาด ดีลนี้น่าจะเกิดขึ้นใน 3Q19 หลังจาก GLOW ขาย SPP1 แล้วและคาดว่า GPSC ต้องใช้เงินราว 1.25 แสนลบ. (ซื้อ 100%) ในการซื้อ GLOW ที่ 90 บ/หุ้น ลดลงจากครั้งก่อนที่เสนอ 94.5 บ/หุ้น เพราะหัก SPP1 ออก เราคาดว่า GPSC อาจจะเพิ่มทุน 6 หมื่นลบ. ซึ่งจะกดดัน TOP ในระยะสั้นเพราะมีการลงทุนใหญ่รออยู่ แต่ไม่เป็นปัญหากับ PTTGC และ PTT แต่ในระยะยาวผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ประโยชน์ทั้งหมดจากกาไรที่สม่าเสมอมากขึ้น เราแนะนาซื้อ GPSC (2019TP 70 บ. ยังไม่รวมดีลนี้) แนะซื้อ PTT (2019TP 58 บ.) PTTGC (2019TP 120 บ.) TOP (2019TP 93 บ) เพราะได้ประโยชน์ในระยะยาวจากดีลนี้
(+) แม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับตัวขึ้น แต่ความผันผวนในตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง หลังจากระหว่างวันดัชนีปรับลดลงไปเกือบ -3% ก่อนพลิกกลับมาบวกอีกครั้งจากหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม (-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงจากหุ้นในกลุ่มยานยนต์และความกังวลเรื่องเศรษฐกิจในปีหน้า (0) ตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวผสมผสาน แต่ปัจจัยที่ต้องระวังคือตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนที่ยังชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง (+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ามันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ลดลง -3.48 % มาอยู่ที่ 44.61 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสต็อคน้ามันดิบสหรัฐปรับตัวขึ้นกว่า 7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาด
() ราคาทองคา COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ปรับตัวขึ้น 8.1 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1281.1 ดอลลาร์/ออนซ์