- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 17 December 2018 19:15
- Hits: 1293
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ติดตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย ประชุมเฟดและกนง.”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : SET วันศุกร์ปรับลด -5.54 จุด ปิดที่ 1609.45 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบางที่ 44.9 พันล้านบาท หุ้น PTTEP ปรับลงต่อ เป็นตัวฉุดดัชนี เมื่อประกาศว่าได้แหล่งบงกช-เอราวัณ แต่ได้ราคาก๊าซที่ต่ำเทียบกับปัจจุบัน แย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า และตัวเลขเศรษฐกิจจีน พ.ย.คือ การผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกขยายตัวอ่อนกว่า ต.ค. แม้มีข่าวดีการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐเป็นบวกมากขึ้น จีนเตรียมเปิดตลาดให้สหรัฐทั้งการนำเข้าถั่วเหลืองและรถยนต์จากสหรัฐ ถือว่า SET ปรับตัวแย่กว่าภูมิภาค นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิรายเดียว 4.5 พันล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 2.0 พันล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1.5 พันล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1.0 พันล้านบาทสำหรับแนวโน้มตลาดและกลยุทธ์วันนี้คือ
# ระยะสั้นมากคาดว่า SET มีโอกาสถูกฉุดจากปัจจัยต่างประเทศที่ไม่สดใส กังวลเศรษฐกิจโลก หลังจีนและยุโรปประกาศตัวเลขออกมาแย่ลง อีกทั้งสหรัฐประกาศตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อออกมาลดลง น้ำมันปรับลง ดอลลาร์แข็งค่า สัปดาห์นี้ Highlight อยู่ที่เรื่องอัตราดอกเบี้ย การประชุมเฟด 18-19 ธ.ค. เราคาดว่าจะปรับขึ้น และ กนง. 19 ธ.ค.ที่เราคาดว่าจะยังไม่ปรับขึ้น แต่ SET ก็มีโอกาสรีบาวด์เช่นกัน เพราะดิ่งลงมาแรง จน P/E อยู่ที่ประมาณ 15 เท่า เช้านี้เพื่อนบ้านบางประเทศรีบาวด์ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +52 จุด(8:04 น.)
# วันนี้ติดตามหุ้น PTTEP และกลุ่ม PTT หลังลงแรงต่อเนื่อง จากการประมูลได้ราคาก๊าซต่ำ และประกาศผู้เสนอราคาไฮสปีดเทรน เชื่อม 3 สนามบิน ต่าสุด กิจการร่วมค้า CP (มีBEM, CK และ ITD ร่วมด้วย) ชนะกิจการร่วมค้า BSR (ประกอบด้วย BTS, STEC และ RATCH)
# หุ้นเด่นเดือนธ.ค.61 เน้นไปยังหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่กองทุนในและต่างประเทศให้ความสนใจ หาจังหวะลงทุนได้แก่ ADVANC, AEONTS, BBL, KKP, TISCO, BEM,CPALL, PTTEP, TOP และหุ้นที่ราคาอ่อนลงมากแต่กำไรยังเติบโตดีในปี 62 คือ GOLD, SVI SET เป้าหมาย SET ปี 62 เป็น 1,780 จุด ใช้ประมาณการ EPS เติบโตปี 61 เป็น8% และปี 62 ที่ 6% ประเมินด้วย P/E Median+0.5 SD
# หุ้นเด่น: ADVANC – ราคาหุ้นปรับลงมามากเกินไป คาดว่ามีความกังวลเรื่องการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นในปี 62 เมื่อ DTAC กลับมาดำเนินงานได้ปกติ และแนวโน้มผลประกอบการ 4Q61 ที่จะยังคงมีค่าใช้จ่ายการตลาดมาก ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน คาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ปี 62/61ดีเท่ากับ 4.2% และ 4.5%ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์สูงสำหรับหุ้น Big Cap ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายที่ดี และมากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่ 3% กว่าๆ ด้วย ให้ราคาพื้นฐานระยะยาว 223 บาท ราคาปิดมีสวนเพิ่ม (Upside) ได้อีกถึง 33%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นภาพตลาดเป็นลบต่อ ซื้อใหม่เน้นค่าบวกทั้งราคาหุ้นและดัชนี แนวต้านระยะสั้น 1615-1620, 1630 จุด, แนวรับคือ 1600, 1590 หาก SETหลุด 1605 จุดดูไม่ค่อยดี ให้ Stop loss เพื่อรอซื้อช่วงปรับฐาน
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ TPIPL,GULF,CPALL,HMPRO หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ EGCO,GLOBAL,BEM, หุ้นที่หลุด List BBL หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ
Take Profit คือ M,CPN นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Flash Note : KCE (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 36.00) กลุ่มขนส่งและรับเหมาก่อสร้าง
Turnover List Watch : ไม่มีหลักทรัพย์ใดติด Cash Balance แต่ขยายเวลา UREKA
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- จีน : ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่สดใส
# นักลงทุนได้กลับมามีความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจีนได้เปิดเผยตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีกที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ
- ยุโรป: ECB ประกาศปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ
# นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้ สู่ระดับ 1.9% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.0% นอกจากนี้ นายดรากียังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของยูโรโซนในปีหน้า สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8%
# นายดรากีระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีความเสี่ยงในช่วงขาลง โดยมีสาเหตุจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า ความเปราะบางในตลาดเกิดใหม่ และความผันผวนในตลาดการเงิน
-/+ สหรัฐ: ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ออกมาต่ำ
# ส่วนไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน ปรับตัวลงสู่ระดับ 51.3 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 49 เดือน จากระดับ52.7 ในเดือนพ.ย.การร่วงลงของดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี
# นอกจากนี้ ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 19 เดือน หลังจากแตะระดับ 54.7 ในเดือนพ.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการจ้างงานและคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจร่วงลงต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2559
+ สงครามการค้า: จีนเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐลดลง
# กระทรวงการคลังของจีนแถลงเมื่อวันศุกร์ว่า จีนจะระงับการเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 25% ต่อรถยนต์นำเข้าของสหรัฐ โดยการผ่อนผันดังกล่าวจะมีเวลา 90 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า
# การดำเนินการของจีนดังกล่าวสอดคล้องกับข้อความในทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งระบุก่อนหน้านี้ว่าจีนได้ตกลงที่จะปรับลดภาษีรถยนต์สหรัฐจากระดับ 40% หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้บรรลุข้อตกลงยุติข้อพิพาทการค้าชั่วคราว หลังการเจรจานอกรอบการประชุม G20 ที่ประเทศอาร์เจนตินา
- ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดาวโจนส์ปรับลงแรงเกือบ 500 จุด กังวลเศรษฐกิจจีนและยุโรป
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,100.51 จุด ลดลง 496.87 จุด หรือ -2.02% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,599.95 จุด ลดลง 50.59 จุด หรือ -1.91% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6910.67 จุด ลดลง 159.66 จุด หรือ -2.26%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเกือบ 500 จุดเมื่อวันศุกร์ (14 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน ยุโรป และสหรัฐ โดยการที่จีนประกาศลดการเรียกเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าของสหรัฐนั้น ไม่ได้ช่วยหนุนการซื้อขายเมื่อคืนนี้
- ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาน้ำมันปรับลด รับข่าวเศรษฐกิจจีน อ่อนแอลง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 1.38 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 51.2 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 60.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดในแดนลบเมื่อวันศุกร์ (14 ธ.ค.) หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีน ซึ่งสร้างความวิตกเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันของจีน นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐยังเป็นปัจจัยกดดันการซื้อขายด้วย เพราะเมื่อดอลลาร์แข็งค่า ราคาสัญญาน้ำมันดิบที่ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์จะมีราคาสูงขึ้นและน่าดึงดูดใจลดลงสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น ๆ
• ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก : ปรับลง เพราะดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 6.00 ดอลลาร์ หรือ 0.48% ปิดที่1241.40 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (14 ธ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า
ปัจจัยในประเทศ
+ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว : ฉลองปีใหม่ทำเงินสะพัดกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท
# ททท.คาดฉลองปีใหม่ทำเงินสะพัดกว่า 1.7 หมื่นล้าน ทั้งจาก นักท่องเที่ยวไทย-เทศ ประกาศจัดเคาต์ดาวน์ยิ่งใหญ่ในกทม.และ 4 เมืองรอง พร้อมจับมือไอคอนสยามผู้ประกอบการ 2 ฝั่งเจ้าพระยาจัดใหญ่เคาต์ดาวน์
+ ครม. เห็นชอบร่างพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนแก้ไขฉบับเดิมให้ชัดเจนมากขึ้น
# ที่ประชุม ครม. เห็นชอบร่างพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎหมายฉบับเดิมให้ชัดเจนมากขึ้น โดยกำหนดให้โครงการร่วมลงทุนที่ไม่ได้เป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะของรัฐ เช่นโครงการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ ต่อไปก็ไม่ต้องนำมาเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามกฎหมายฉบับนี้ เพราะปัจจุบันการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์มีกฎหมายเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ ดูแลเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว
+ AOT: ลงนาม MOU ผู้บริหารแอฟริกาใต้ เน้นส่งเสริมเที่ยวบินตรง เพิ่มจำนวนผู้โดยสาร-ขนส่งสินค้า
# ทอท.ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างท่าอากาศยาน (Sister Airport Agreement) ร่วมกับบริษัทAirports Company South Africa (ACSA) ผู้บริหารท่าอากาศยาน 9 แห่งในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ โดยจะดำเนินกิจกรรมความร่วมมือใน 4 ด้าน คือ การประชุมร่วมกันเป็นประจำ (Regular Meeting) การแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล(Exchange of Information) การส่งเสริมกิจกรรมด้านการตลาดร่วมกัน (Joint Marketing and Promotion) เพื่อเพิ่มจำนวนผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า และการดำเนินโครงการร่วมกัน (Joint Work Activities)
+ SAT: คาดปี 62 รายได้โตกว่าปีนี้ และโตกว่าอุตสาหกรรมฯ 7-8%
# SAT เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดผลประกอบการปี 2562 จะเติบโตกว่าปีนี้ทั้งในรายได้และกำไรสุทธิ เนื่องจากบริษัทฯ จะมีคำสั่งซื้อสินค้าใหม่เข้ามาจากสหรัฐอเมริกา ได้แก่ เพลาข้าง ,รถกระบะ มูลค่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาส4/2561 ราว 10 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะรับรู้ในปีหน้าแบบเต็มปี
# บริษัทฯคาดว่ารายได้ในปีนี้จะลดลงจากปีก่อนราว 4-5% เนื่องจากบริษัทฯได้มีการลดสัดส่วนการถือหุ้นบริษัท บางกอกสปริงอินดัสเตรียล จำกัด (BSK) ซึ่งเป็นบริษัทฯย่อย จาก 100% เหลือ 50%โดยขายหุ้นให้กับบริษัท MUBEA SomboonAutomotive Co.,Ltd หรือ (MSA) ทำให้รายได้ของบริษัทหายไปราว 1,400 ล้านบาท แต่ยังเชื่อว่ากำไรสุทธิจจะดีกว่าปีก่อนที่มีกำไร 811.24 ล้านบาท โดยในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ มีกำไรอยู่ที่ 660.86 ล้านบาท เนื่องจากการขายหุ้นบริษัทย่อยดังกล่าว ซึ่งจะทำการบุ๊คเป็นกำไรในทันที
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]