- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 22 September 2014 16:17
- Hits: 1966
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Sideways
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ยังไม่ผ่าน 1,590 จุด ย่อตัวลงมาปิดที่ 1,584.91 จุด บวกเพียงเล็กน้อย 0.68 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 53,391 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง 1,789 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นผลจากการปรับน้ำหนักดัชนี FTSE Thailand ขณะที่ SET50 Index Futures กลับมา Long สุทธิมากถึง 6,436 สัญญา แต่ยังคงขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 อีก 3,284 ล้านบาท
ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้ MBKET ประเมิน SET INDEX แกว่งในกรอบระหว่าง 1,575/80 – 1,590 จุด โอกาสปิดยืนเหนือแนว 1,590 จุดเป็นไปได้จำกัด ด้วยภาวะการลงทุนรอบเอเชียเช้าวันนี้ไม่สดใส่ ต่างปรับตัวลงเล็กน้อย เพราะขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน
ขณะที่ Downside risk ของ SET INDEX ยังคงเป็นไปอย่างจำกัด จากปัจจัยของ Window Dressing และรายงานสินเชื่อเดือนส.ค.ของธนาคารพาณิชย์ไทย ขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2H57 เป็นแบบ V-Shape ตามที่ธปท.ประเมินไว้ก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม MBKET ประเมินโอกาสที่ SET INDEX จะขยับขึ้นทดสอบ 1,600 จุด และปิดยืนเหนือแนวดังกล่าวได้ในสัปดาห์นี้ จากเม็ดเงินใหม่จากกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งปิดการขาย IPO วันที่ 22 ก.ย. วงเงิน 1.5 พันล้านบาท เน้นลงทุนกลุ่มธนาคาร / กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงเงินทุนต่างชาติที่ยังสนใจตลาดหุ้นไทย พร้อมกับติดตามการประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ อาจมีการพิจารณาแผนด้านเศรษฐกิจ และ/หรือ พลังงานออกมา
กลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำให้ นักลงทุนรอขายทำกำไรบริเวณ 1,600 จุด +/- หรือหากต้องการเก็งกำไร ควรจำกัดวงเงิน และเน้นหุ้นรายตัวที่มีประเด็นเชิงบวกต่อการลงทุน เป็นสำคัญ
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “ทยอยสะสม” PTT/ KTB
Portfolio Top Pick in 3Q14: AAV /AP/ IFEC/ TRUE
HOLD: SAMART/ SPCG/ IFEC/ BTS/ SIM/ MACO/ CK/ LPN
Accumulative buy: PTT/ KTB
Action and Stock of the Day
SET INDEX ยังไม่ผ่าน 1,590 จุด
SET INDEX แกว่งในกรอบ
กลยุทธ์การลงทุน ถือพอร์ต เพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ 1,600 จุด +/- หรือหากต้องการเก็งกำไร อาจเลือกเน้นเป็นรายตัว มากขึ้น เช่นเดิม
ตลาดหุ้นเอเชียวันศุกร์ที่ผ่านมา ปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ หลัง สกอตแลนด์ โหวต “โน” ในการทำประชามติ ทั้งนี้ Nikkei ปิดบวกเด่นสุด 1.58%
ด้านตลาดหุ้นไทยเปิดฟื้นตัวสอดคล้องกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย หลัง DJIA ปิดบวกเด่น และสกอตแลนด์ ยืนยันอยู่กับสหราชอาณาจักรต่อไป ส่งผลให้ภาวะการลงทุนเป็นบวก อย่างไรก็ตาม SET INDEX ยังไม่ผ่าน 1,590 จุด เกิดแรงขายทำกำไรในช่วงท้ายตลาด ส่งผลให้ SET INDEX ย่อตัวลงมาปิดที่ 1,584.91 จุด บวกเพียงเล็กน้อย 0.68 จุด มูลค่าการซื้อขาย 53,392 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดบวกแรงสุดในวานนี้ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี +1.15%, กลุ่ม Professional +1.14% และกลุ่มกระดาษ +0.93% ส่วนกลุ่มหลัก กลุ่มธนาคาร 0.18%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง -0.23% และกลุ่ม ICT -0.38%
ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชีย (7.41 น.) เช้านี้ Nikkei – Kospi เปิดลบราว 0.5% ต่อตลาด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน แม้ว่าค่าเงินเยนจะอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ตาม
MBKET คงมุมมองต่อการลงทุนเป็น “บวก” ต่อเนื่อง แม้ว่า SET INDEX ในปลายสัปดาห์จะยังไม่ผ่าน 1,590 จุด และเกิดแรงขายในช่วงท้ายตลาด ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากแนวทางที่ ตลท. เตรียมหารือกับบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อหาทางป้องกันการเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กที่มีการซื้อขายร้อนแรง ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม MBKET ประเมินว่า กระแสเงินทุนต่างชาติ และ การเข้าสู่ช่วงเทศกาล Window dressing ย่อมช่วยปิด downside risk ของตลาดหุ้นไทย แต่อาจกลายเป็นตัวแปรที่จะผลักดัน SET INDEX ให้ขยับลักษณะ Sideways-to-Sideways-Up ไปทดสอบ 1,600 จุด และทะลุที่สุดในแนวดังกล่าว ด้วยปัจจัยสนับสนุนได้แก่
•พัฒนาการเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย ธปท.ยืนยันเศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่ช่วงของการฟื้นตัว และมีแนวโน้มที่จะเติบโตในลักษณะ V-Shape ในช่วงที่เหลือของปีนี้ รวมถึง การเริ่มงบประมาณปี 2558 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ได้ตามแผนที่วางไว้
•การเข้าสู่ช่วง Window Season ของกองทุนภายในประเทศ ทำให้แรงขายจำกัดในช่วงที่เหลือของเดือนนี้
•ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกเป็น “กลางถึงบวก” สังเกตุได้จาก
oตลาดหุ้น DJIA แกว่งในลักษณะขยับขึ้น ย่อมสร้างบรรยากาศการลงทุนเชิงบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
oค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ เป็นบวกต่อภาคการส่งออกในเอเชีย และน่าจะเป็นเหตุให้เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นในเอเชีย
oคาดเงินทุนไหลออกจากตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมัน และ ทองคำ เพื่อลงทุนในตลาดหุ้น จากแรงกดดันของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
•เงินทุนใหม่จากการปิดขายกองทุน Trigger fund ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ วันนี้ขาย IPO เป็นวันสุดท้าย วงเงิน 1.5 พันล้านบาท จะเข้ามาในช่วงกลางสัปดาห์นี้ โดยเน้นการลงทุนในกลุ่มธนาคาร และรับเหมาก่อสร้าง
อย่างไรก็ตามแรงกดดันต่อ Upside Gain ของ SET INDEX หลังขยับขึ้นสู่แนว 1,610-1,620 จุดคือ โอกาสที่กองทุน Trigger Funds 4 กองทุน ของ UOBAM และ LHBANK AM มูลค่า NAV รวมราว 5.3 พันล้านบาทมีโอกาสแตะระดับเป้าหมาย และเกิดแรงขายหุ้นเพื่อปิดกองทุนออกมา เป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามในระยะถัดไป
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน MBKET คงคำแนะนำ “ถือพอร์ตการลงทุนที่มีอยู่ เพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ 1,600 จุด +/-“ หากต้องการเก็งกำไรอาจต้องจำกัดวงเงิน และกำหนดเลือกลงทุนเป็นรายหุ้นที่มีประเด็นการลงทุนเฉพาะตัว เพราะ Upside gain ของ SET INDEX เริ่มจำกัด
ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.ติดตามการปิดขาย IPO ของกองทุนทริกเกอร์ฟันด์: ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ วงเงิน 1,500 ล้านบาท ในวันนี้ เพื่อประเมินเม็ดเงินใหม่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่เป็นวัตถุประสงค์การลงทุนหลักของกองทุนนี้ MBKET คาดว่าเม็ดเงินใหม่จะเริ่มเข้าลงทุนในช่วงกลางสัปดาห์นี้เป็นต้นไป
2.การเข้าสู่ฤดูกาล Window Dressing: ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาส กองทุนในประเทศ จะเริ่มรักษาระดับ NAV ของกองทุนให้อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่ง QTD ของ SET INDEX ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 6.67% ทั้งนี้กลุ่มหลักที่ขึ้นมาเด่นใน 3Q57 ได้แก่ กลุ่มขนส่ง +14.09%, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง +14.09% และกลุ่มโรงพยาบาล +12.61%
MBKET ประเมินว่าผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากพอ ทำให้การไล่ซื้อหุ้นหลัก เพื่อสร้างระดับ NAV อาจไม่มีความจำเป็น แต่ จะเป็นการประคองภาพรวมของ NAV ด้วยการชะลอแรงขายก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
3.จับตาหุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร / ICT มีแนวโน้มฟื้นตัวเด่น: เพราะหากประเมินจากภาพรวมเศรษฐกิจใน 2H57 ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ทำให้เชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะได้รับประโยชน์ทางตรงกับปัจจัยดังกล่าว สะท้อนกลับมายังยอดสินเชื่อที่เติบโต mom อย่างแข็งแกร่ง แกม้ว่า QTD กลุ่มธนาคารจะ +12.28% แล้วก็ตาม
สำหรับกลุ่ม ICT ที่ QTD ขึ้นมาเพียง 2.43% เทียบกับ SET INDEX +6.67% ทำให้เชื่อว่า หุ้นหลักในกลุ่ม ICT จะขยับขึ้นเด่นในช่วงท้ายของการปิดไตรมาสที่ 3 นี้ นำโดย ADVANC ที่ผลการดำเนินงานใน 3Q57 ส่งสัญญาณฟื้นตัว qoq และ yoy
วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
SET INDEX 16.17 13.87 16.15 13.86
PSE 20.64 17.83 20.64 17.83
JSE 16.93 14.38 16.88 14.38
KOSPI 10.41 9.44 10.47 9.50
TAIEX 14.59 13.75 14.59 13.76
Straits Tim
14.59 13.44 14.56 13.41
SHCOMP 9.27 8.21 9.15 8.11
ที่มา: Bloomberg
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ทยอยสะสม” ได้แก่
1.PTT : ราคาปิด 354.00 บาท ราคาเหมาะสม 386.00 บาท
a)MBKET คาดว่าหุ้น PTT จะ Outperform ตลาดได้ในสัปดาห์นี้ จากแรงเก็งกำไรการปรับขึ้นราคา LPG และ NGV ที่คาดว่าจะปรับขึ้นในช่วงต้นเดือน ต.ค. เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานที่ต้องการให้สะท้อนและเป็นไปตามกลไกตลาดโลก
b)โดยคาดว่าจะปรับขึ้นราคา LPG สำหรับภาคขนส่งขึ้น 1.25 บาท / กิโล เพื่อให้เท่ากับภาคครัวเรือน โดยจะปรับขึ้นในครั้งเดียว หรือแบ่งเป็น 2 ครั้งๆละ 0.62 ส.ต.
c)ขณะที่ราคา NGV ที่ปัจจุบันตรึงราคาไว้ที่ 10.50 บาท / กิโล ต่ำกว่าต้นทุนที่ 15.00 บาท / กิโล คาดว่ามีโอกาสทยอยปรับขึ้นเดือนละ 1.00 บาท จนเท่าราคาต้นทุน
d)เราประเมินว่าทุก 1 บาทของราคา NGV ที่ปรับขึ้น จะเป็นบวกต่อกำไรของ PTT ราว 3.2 พันล้านบาท หรือเทียบเท่าราว 10.50 บาทต่อหุ้น และเป็น Upside Risk ต่อประมาณการกำไรของเรา
e)ราคาหุ้นปัจจุบันมี PER 2558 ที่ 9.7 เท่า ต่ำกว่า SET INDEX ที่ 13.9 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4% และเชื่อว่าการปรับโครงสร้างราคาพลังงานจะเป็นบวกให้ราคาหุ้น PTT มีโอกาส Re-rating ในแง่ Valuation ได้
2.KTB : ราคาปิด 24.20 บาท ราคาเหมาะสม 27.00 บาท
a)MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารและคาดว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มหลักที่ได้ประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ เพราะได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและส่งผลให้สินเชื่อขยายตัวใน 2H57 และเร่งตัวขึ้นในปี 2558
b)เนื่องจาก KTB มีสัดส่วนสินเชื่อโครงการภาครัฐฯ สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร จึงคาดว่าจะได้อานิสงค์จากการผลักดันเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ
c)ทิศทางกำไรสุทธิ 3Q57 คาดขยายตัว qoq จากการตั้งสำรองที่ลดลง และสินเชื่อเติบโต qoq ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นใน 4Q57 และปี 2558 จากทิศทางดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับขึ้นในปีหน้า
d)คาดกำไรสุทธิปี 2558 เติบโต +12.9% yoy เป็น 38,054 ล้านบาท และมี Valuation ที่ยังไม่สูงมากนัก โดยซื้อขายระดับ BV 2558 ที่ 1.3 เท่า ต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น KBANK 1.8x, SCB 2.0x และ BAY 2.2x และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยปีละ 4% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง)
What will DJIA move tonight? คืนนี้มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติวานนี้ซื้อสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 8 วันทำการเพียง US$2 ล้านเท่านั้น จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$196 ล้าน
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX -80.1 -48.0 12,904.5 9,188.0
KOSPI n.a -85.7 8,515.1 4,875.1
JSE 23.6 -56.8 4,594.1 -1,806.4
PSE 0.8 0.8 1,265.6 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม 1.8 -3.4 234.9 263.2
SET INDEX 55.6 -2.9 -274.3 -6,210.5
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติกลับมา Long สุทธิหนาแน่น ส่วนตลาดหุ้นที่ซื้อสุทธิ อาจเป็นผลจากการปรับดัชนี FTSE Thailand
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) +1,789 -94
SET50 Index Futures (สัญญา) +6,436 -1,013
SSF (สัญญา) +231 +455
Metal Futures (สัญญา) +50 -230
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) -3,284 -8,132
นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง มากถึง 1,789 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นผลจากการปรับน้ำหนักดัชนี FTSE Thailand Index วันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิลดลงเหลือเพียง 10,607 ล้านบาท
ด้านนักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิใน SET50 Index Futures หนาแน่นถึง 6,436 สัญญา คาดว่าจะเป็นการกลับมามีสถานะ Long สุทธิอีกครั้ง แม้ว่า S50U14 ปิดสูงกว่า SET50 Index เป็นวันที่ 2 มากถึง 1.97 จุด จากวันก่อนหน้า Premium ราว 0.72 จุด
และตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้คงการขายสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 3,284 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิ 4,297 สัญญา เมื่อราคาพันธบัตรไทยขยับขึ้น โดยอายุ 10 ปี ผลตอบแทนลดลง 1.12 bsp ปิดที่ 3.572%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ลดลงอีก เป็น 259 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 272 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
PTT 90.41 4.49% 350.70
TRUE 45.21 0.84% 12.75
SCB 20.37 2.23% 189.66
KBANK 17.70 1.62% 236.00
SCC 12.92 3.11% 453.40
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 19 เน้นกลุ่ม ICT และกลุ่มธนาคารอย่างเด่นชัด
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้ซื้อสุทธิอีก 1,455 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,163 ล้านบาท รวม 19 วันทำการซื้อสุทธิ 23,426 ล้านบาท สรุปภาพการลงทุนได้ดังนี้
1.กลุ่ม ICT ถูกซื้อสุทธิสูงสุด 949 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 177 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคาร ซื้อสุทธิ 354 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 189 ล้านบาท กลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 191 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 538 ล้านบาท กลุ่มอสังหาฯ ซื้อสุทธิ 180 ล้านบาท กลุ่มวัสดุก่อสร้างซื้อสุทธิ 110 ล้านบาท และกลุ่มขนส่ง ซื้อสุทธิ 101 ล้านบาท
2.กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ถูกขายสุทธิ 145 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มประกันภัย ขายสุทธิ 121 ล้านบาท และกลุ่มอาหาร ขายสุทธิ 110 ล้านบาท
ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
TRUE 497.85 7.86 MINT -220.93 25.42
KTB 395.56 25.33 BBL -209.84 11.59
PTT 219.20 14.42 BLA -129.67 28.87
SCB 198.05 27.19 CK -104.22 13.79
DTAC 177.48 30.26 HMPRO -83.97 16.81
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong