WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASPบล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
กลยุทธ์การลงทุน
ราคาน้ำมันดูไบหลุด 60 เหรียญฯ เป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัว  คล้ายกับเหตุการณ์ในอดีต แต่รอบนี้น่าจะเป็นผลกระทบจากสงครามทางการค้าโลก ซึ่งผลสรุปของสหรัฐ จะขึ้นภาษีนำเข้าจีนเป็นรอบ 4 อีก 2.67 แสนเหรียญฯ จะสรุปผลในในต้น ธ.ค. ถือว่ามีน้ำกดดันเพิ่มเติม กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นสะสมหุ้น Domestic (ROBINS, CPALL, BJC) มือถือ (ADVANC, DTAC) และสาธารณูปโภค (EASTW, TTW) Top pick เลือก EASTW([email protected])  upside สูงง 22% ให้ Div Yield 4.11% และ TASCO(FV@B18) ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขาลง
 
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …. SET Index ฟื้นช่วงสั้น แต่ยังไม่จบการพัก  
ศุกร์ที่ผ่านมา SET Index พลิกกลับมายืนแดนบวกในช่วงบ่าย ก่อนจะปิดที่ 1622.10 จุด เพิ่มขึ้น 17.70 จุด (+1.1%) มูลค่าการซื้อขาย 3.7 หมื่นล้านบาท แม้ตลาดฯ ยังถูกกดดันจากสงครามการค้าโลก แต่การปรับฐานลงมากว่า 30 จุดตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ จึงเห็นแรงซื้อไล่กลับเข้ามาในหุ้นที่ปรับตัวลงแรง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่รีบาวด์กลับมาแรง เช่น PTT PTTEP บวก 1.6% และ 2.3% ตามด้วยหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า GPSC GULF  ส่วนหุ้นขนาดใหญ่กลุ่ม ธ.พ. ยังเคลื่อนไหวสลับบวก/ลบ  ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีกอ่อนตัวลง โดยเฉพาะ CPALL ย่อตัวลง 0.4% สวนทางปัจจัยบวกของกลุ่มฯ หลังรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือน จึงมองเป็นโอกาสสะสม 
แนวโน้มดัชนีวันนี้ น่าจะยังแกว่งตัวลงในกรอบ 1595-1630 จุด โดยยังให้น้ำหนักการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนของสหรัฐ อีกครั้งมูลค่าวงเงิน 2.67 แสนเหรียญฯ  ในการประชุม G-20 วันที่ 30 พ.ย. – 1 ธ.ค. นี้  และการประชุม OPEC 6 ธ.ค. น่าจะคุมการผลิตต่อไปอีก 1 ปี แต่การลดลงของ Demand ยังแรงกว่าการตัด Supply จึงมองว่าราคาน้ำมันมีโอกาสปรับลงได้ต่อ
การประชุม G-20 จะทราบผลสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าจีนรอบ 4  
ปัจจัยต่างประเทศสัปดาห์นี้ ให้น้ำหนักการประชุม G-20 ระหว่างวันที่  30 พ.ย.–1ธ.ค. ที่ประเทศอาร์เจนตินา  โดยมุ่งไปที่การเจรจานอกรอบระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสี จิ้นผิง กับข้อสรุปการกีดกันทางการค้า ที่สหรัฐเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบที่ 4  วงเงินอีก 2.67 แสนล้านเหรียญฯ (ยังไม่ได้กำหนดอัตราภาษี)  หลังจากก่อนหน้าที่สหรัฐได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับจีนไปแล้วรวม 3 รอบ มูลค่าราว 2.5 แสนล้านเหรียญ     โดยเชื่อว่าสหรัฐจะเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน สอดคล้องกับความเห็นของ   คณะทำงานของรัฐบาลทรัมป์ตลอดสัปดาห์ที่แล้ว คือ  รองประธานาธิบดี (ไมค์ เพนซ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (วิลเบอร์ รอสส์) สนับสนุนการกีดกันการค้ากับจีน        ซึ่งจะกดดัน  กดดันการค้าและเศรษฐกิจโลกในปี 2562  
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบโลกยังคงปรับลงแรงต่อเนื่อง ทั้งนี้น่าจะเป็นผลจากปัญหา Supply ล่าสุด รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานซาอุดีอาระเบีย เผยกำลังการผลิตน้ำมันในเดือน พ.ย. ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่  10.7 ล้านบาร์เรล (สูงสุดตั้งแต่ต้นปี 2560)  และ Dollar index ที่แข็งค่าขึ้น หรือแข็งค่าราว 5.7%นับตั้งแต่ต้นปี     แม้ตลาดจะติดตามวันที่ 6 ธ.ค การประชุม OPEC ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย  ประเทศในกลุ่ม OPEC อาจจะจะขยายระยะเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันที่จะสิ้นสุดปลายปีไปถึงปี 2562 พร้อมจะลดกำลังการผลิตในปีหน้าลงอีกราว 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน  
อย่างไรก็ตามการตัดลง supply อาจจะมีน้ำหนักน้อยกว่าความต้องการใช้น้ำมันโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงแรงจากผลกระทบของสงครามการค้าโลก    โดยเฉพาะผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก คือ สหรัฐ รองลงมาคือ จีน, ญี่ปุ่น,  อินเดีย, รัสเซีย  ด้วยเหตุนี้ทำให้ตลาดน้ำมันน่าจะกลับมา oversupply อีกครั้งในปี 2562   และกดดันราคาน้ำมันดิบโลกยังแกว่งตัวลง แม้ได้ปรับลดลงต่อเนื่องราว 31% นับตั้งแต่ 3 ต.ค.61 (จุดสูงสุดของปี) จนถึงปัจจุบัน ล่าสุด ราคาน้ำมันดูไบ อยู่ที่ 58.11 เหรียญฯ (เฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี หรือ ytd อยู่ที่  70.79 เหรียญฯ)   ซึ่งต่ำกว่าสมมติฐานของ ASPS  ปี 2562 ที่กำหนดไว้  65 เหรียญฯ และ 70 เหรียญฯ  ตั้งแต่ปี  2563 เป็นต้นไป  และเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันดูไบจะต่ำกว่า 60 เหรียญฯ ในช่วงสั้น ทำให้ความเสี่ยงที่ราคาหุ้นน้ำมันจะลดลงต่อยังมีความเสี่ยงสูง จึงยังแนะนำ “switch” PTTEP (FV@B148) และ PTT (FV@B56)  รวมถึงหุ้นที่อิงเศรษฐกิจจากภายนอก เช่น IVL, TOP  น่าจะเผชิญแรงขายต่อเนื่อง
น้ำมันลง หุ้นการบินได้ประโยชน์แต่ถูกหักล้างจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว   
ราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงดังกล่าวข้างต้น น่าจะดีต่ออุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะสายการบิน และ โรงงานอุตสาหกรรม แต่อย่างไรก็ตามผลบวกนี้อาจจะถูกหักล้างจากปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทั้งผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ – จีน ยังมีอยู่ และน่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนในปี 4Q61 ต่อเนื่องปี 2562 และปัญหาวิกฤติการเงินในยุโรปที่สะสมมานาน รวมถึงการออกของอังกฤษจากสหภาพยุโรป ที่สร้างแรงกดดันต่อธุรกิจการบินและการค้าโลก ซึ่งมีผลกระทบต่อบริษัท  จดทะเบียน แยกตามอุตสาหกรรมดังนี้  
กลุ่มสายการบิน : เป็น Sentiment บวก เพราะต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงการบินคิดเป็น 35-40% ของต้นทุนรวม (ขณะที่ต้นทุนรวมคิดเป็น 85% ของรายได้ ประเมินจาก BA, AAV ยกเว้น THAI เปิดเผยเฉพาะ operation profit) แต่ประโยชน์ที่ได้จากต้นทุนลดลง จะขึ้นกับการทำ hedging หรือการป้องกันความเสี่ยงจากต้นทุนน้ำมันไว้ล่วงหน้ามากน้อยเพียงใด ในภาวะน้ำมันขาลง ผู้ที่ทำการป้องกันความเสี่ยงไว้มากจะได้ประโยชน์น้อย เช่น กรณีของ THAI  รองลงมาคือ BA  ส่วน AAV น่าจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการทำ hedging ต่ำสุดในภาวะน้ำมันขาลง   อย่างไรก็ตามผลประโยชน์สุทธิจะมากน้อยเพียงใดยังขึ้นกับภาวะการแข่งขันในธุรกิจ รวมถึงฐานลูกค้าเป็นสำคัญ กล่าวคือ 
THAI([email protected]) งวด 4Q61  ในทำ Hedging ไว้สูง 60% ที่ราคาสูง 70 เหรียญฯ ส่วนปี 2562  ลดลงเหลือ 30%  พร้อมราคาน้ำมันเชื้อเพลงที่ 65 เหรียญฯ ใกล้เคียงสมมติฐานของ ASPS  ขณะที่ความกังวลจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวน่าจะเป็นปัจจัยกดดัน ทั้งจากสงครามการค้า เพราะมีลูกค้าบางส่วนมาจากจีนราว 8% ของลูกค้าทั้งหมด  และ การแข่งขันในเส้นทางบินญี่ปุ่นสูงขึ้น (เส้นทางทำกำไรหลัก) จากการขยายเส้นทางสายการบินต้นทุนต่ำในระยะหลัง
BA([email protected])   งวด 4Q61  ทำสัญญา hedging ไว้สูงถึง 77% แต่ลดลงเหลือ 73% ในปี 2562  ที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย  65 เหรียญฯ  ใกล้เคียงสมมติฐานของ ASPS   น่าจะได้รับผลกระทบจากจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ทั้งจากสงครามการค้าโลก เพราะมีลูกค้าบางส่วนมาจากจีนราว 9% ของลูกค้าทั้งหมด   และยังเผชิญความเสี่ยงจาก Brexit  ปัจจุบันมีฐานลูกค้าชาวอังกฤษ 4% ของลูกค้า  รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในเส้นทาง CLMV จากการขยายของสายการบินต้นทุนต่ำ
 AAV([email protected])  น่าจะได้ได้ประโยชน์ในช่วงน้ำมันขาลง เพราะ ได้ทำ Hedging ไว้น้อย โดยใน 4Q61  ทำไว้เพียง 13% และน้อยมากเพียง  2% ในปี 2562   แต่ประเด็นนี้จะถูกหักล้างจากผลกระทบสงครามการค้าสูงสุด เนื่องจากมีฐานลูกค้าจีนราว 30% 
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : เนื่องจากผู้ประกอบการในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ใช้เชื้อเพลิงในการผลิตที่แตกต่างกัน จึงน่าจะได้ประผลประโยชน์แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก และ สัดส่วนราว 30% ของต้นทุนการผลิต) และ ธุรกิจกระเบื้องใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก (30% ของต้นทุนการผลิต) นับว่าน้อย เมื่อเทียบกับ ผู้ผลิตยางมะตอย (TASCO) ใช้น้ำมันดิบชนิดหนักสัดส่วนราว  90% ของต้นทุนรวม  ขณะที่การเปลี่ยนแปลงต้นทุนเชื้อเพลิงอื่นๆ อย่างถ่านหินและก๊าซจะล่าช้ากว่าน้ำมันราว 6 เดือน  ในระยะสั้น  TASCO น่าจะได้ประโยชน์มากสุด  กล่าวคือ 
 TASCO(FV@B18)  นำเข้าน้ำมันดิบ (Crude) เป็นวัตถุดิบมากลั่นเป็นยางมะตอย พบว่าราคาน้ำมันดิบที่ลดลงทุก 10 เหรียญฯ/บาร์เรล นั่นหมายถึงจะทำให้ TASCO  ต้นทุนในการผลิตยางมะตอยลดลง  63 เหรียญฯ/ตัน  หากราคาขายไม่เปลี่ยนแปลงน่าจะเพิ่ม Gross margin ราว 10%   เนื่องจากราคาขายยางมะตอย จะมีความสัมพันธ์ระหว่าง  Demand-Supply เป็นหลัก  นับจากช่วงเดือน เม.ย. เป็นต้นมา  Supply ยางมะตอยได้ลดลง 1 ล้านตัน/ปี เพราะโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในเกาหลีใต้คือ S-Oil ได้ Upgrade โรงกลั่นไปผลิตน้ำมันที่คุณภาพ คือ มีกำมะถันน้อย  หนุนให้ราคายางมะตอยตลาดสิงคโปร์เดือน  พ.ย. ปรับตัวขึ้น 5% จากสิ้นเดือน ก.ย. 61  ซึ่งสวนทางกับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงมา 24% จากสิ้นเดือน ก.ย. 61  จึงคาดว่าจะหนุน margin ดีขึ้นในงวด 4Q61  
และอีกบริษัทที่น่าจะได้ประโยชน์คือ DCC([email protected])  ที่มีต้นทุนค่าขนส่ง ( อิงกับราคาน้ำมันดีเซล) คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 9% ของยอดขาย โดยฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ TASCO (FV@B 18.0) และ DCC ( FV@B 2.90
ราคาน้ำมันตกหนัก อาจกดดันตลาดหุ้นและการไหลเข้าของ Fund Flow
วันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคด้วยมูลค่า 189 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) และเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 3 ประเทศ โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ถูกซื้อสุทธิกว่า 181 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 25 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน) และไต้หวัน 10 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิในวันก่อนหน้า) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 2     ประเทศถูกขายสุทธิ คือ อินโดนีเซีย 10 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิในวันก่อนหน้า) และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิอีก 17 ล้านเหรียญ หรือ 575 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 660 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ตลาดหุ้นและ Fund Flow ยังคงได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมัน (WTI) ที่ตกหนักกว่า 6.4% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา จนทำให้ตลอดเดือนพ.ย. ปรับลดลงมาแล้วกว่า 22.8% (mtd) และเป็นเดือนที่น้ำมันตกแรงที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ตราบใดที่ราคาน้ำมันยังปรับตัวลงต่อเนื่อง น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมาก เนื่องจาก SET Index มีสัดส่วน Market Cap ในหุ้นกลุ่มพลังงานสูงสุดถึง 22.2% ของหุ้นทั้งหมด และกลุ่มปิโตรเคมีอีก 4.5% เช่น PTT มีสัดส่วน 8.4% ของตลาดฯ, PTTEP 3.1% และ PTTGC 2.1% เป็นต้น และหากหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีปรับตัวลดลงทุกๆ 1% จะกดดันให้ SET Index ปรับตัวลดลงถึง 4.3 จุด 
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
 
 
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
 ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
 โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!