- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 23 November 2018 16:36
- Hits: 6479
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ยังขาดปัจจัยกระตุ้น
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TLGF ปรับจากซื้อเป็นถือ
ภาวะตลาดและปัจจัย : วานนี้ SET ร่วง 12.93 จุด (-0.8%) ปิดที่ 1604.40 หลังเด้งขึ้นวันก่อนหน้าเพราะส่งออกเดือนต.ค.61โตดีขึ้นเป็น+8.7%YoY จาก -5.2%YoY ในเดือนก.ย.61 ซึ่งเป็นผลจากราคาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับน้ำมันปรับขึ้น ส่งออกทองคำเพิ่มขึ้น (ไม่รวมทองคำส่งออกต.ค. +7.3%YoY) และส่งออกไปญี่ปุ่นโตมากหลังชะงักไปในเดือนก.ย.61 จากมีพายุไต้ฝุ่น รวมทั้งจีนเร่งซื้อสินค้าจากไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐก่อนที่อัตราภาษีนำเข้าจะปรับขึ้นจาก 10% เป็น 25% ในเดือนม.ค.62 แต่ก็ยังกังวลกับแนวโน้มส่งออกปี 62 โดยรวมคาดว่าส่งออกปี62 ลดลงเหลือ 4% (จากโต 7-8% ปีนี้) เพราะถูกกระทบจากสงครามการค้าเต็มปี ปัจจัยติดตาม คือ การประชุมนอกรอบผู้นำสหรัฐและจีนในการประชุม G20 ปลายพ.ย.-ต้นธ.ค.นี้
ภาคท่องเที่ยวชะลอตัวชัดเจน เดือนต.ค.จำนวนนักท่องเที่ยว -0.51%YoY เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก ส่วน 10M61 ขยายตัว7.8%YoY เราคาดว่าภาคท่องเที่ยวต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
ด้านอุปสงค์ในประเทศ ดีเป็นบางอุตสาหกรรม โดยกลุ่มที่ยังเติบโตได้ดี เช่น ไฟแนนซ์ประเภทสินเชื่อจำนำ, สินเชื่อส่วนบุคคล & บัตรเครดิต,ธุรกิจที่เกี่ยวกับดิจิตอล & ค้าขายออนไลน์ & ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์, ธุรกิจด้านความงามและสุขภาพ เป็นต้น
สำหรับการเมืองไทย จับตาหลังเลือกตั้งว่าจะได้รัฐบาลเป็นแบบไหน; โอกาสคือ เชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะยังคงเดินหน้า Mega Projects ต่อ ซึ่งเป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมาฯ วัสดุก่อสร้าง และธ.พ. ; ความเสี่ยง คือ ภาวะสูญญากาศก่อนและหลังเลือกตั้ง
Update หุ้นเด่น : CPALL – เราชอบที่บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี (ขายเป็นเงินสด ซื้อสินค้ามาขายแบบมีเครดิตเทอม) และมีสาขาจำนวนมากกว่า 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งเปิดช่องให้มีการขยายธุรกิจได้อีกมาก จึงเติบโตได้ดีในระยะยาว ให้ราคาพื้นฐาน 83 บาทการวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นตลาดยังอยู่ในการแกว่งตัว ซื้อใหม่เน้นค่าบวกราคาหุ้นและดัชนี, SET หลุด 1600 จุดดูไม่ค่อยดี ให้Stop loss หรือ Wait & see แนวเด้งอยู่ที่ 1590-1580 จุด (และถ้าเด้งไม่ผ่าน 1600 จุดก็ควรขายก่อน)
สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น AP, EASTW, M, BTS หุ้นที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ KBANK, PTG, HMPRO หุ้นที่หลุด List คือ LPN, GLAND, OSP, BH และที่ให้หาจังหวะ Take profit เป็น SCC
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค –[email protected]
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ญี่ปุ่น : รัฐบาลเผยเศรษฐกิจดีขึ้นจากดีมานด์ภายในประเทศแข็งแกร่ง
# รายงานเศรษฐกิจประจำเดือนพ.ย.ระบุว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวในระดับปานกลาง โดยการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 50% ของ GDP กำลังฟื้นตัวขึ้น และการใช้จ่ายของบริษัทต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนการส่งออกทรงตัวเพราะความต้องการสมาร์ทโฟนในเอเชียที่ร่วงลงได้ส่งผลกระทบต่อยอดสั่งซื้อส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ด้านการผลิต ส่วนความเสี่ยง คือ ผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
• ติดตามการประชุม G20 ปลายพ.ย.-ต้นธ.ค.นี้
# ประธานาธิบดีสหรัฐและจีนจะมีการประชุมนอกรอบกันในการประชุม G20 ที่จัดขึ้นในปลายเดือนพ.ย.-ต้นธ.ค.61 นี้ ซึ่งตลาดไม่แน่ใจว่าจะบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้หรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าทางสหรัฐยังโจมตีจีนเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาอย่างต่อเนื่อง
# ความเห็น DBSVTH Retail Research : เชื่อว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะต้องใช้เวลา เพราะมีหลายประเด็นและเงื่อนไขที่ต้องเจรจากัน ซึ่งเป็นเรื่องผลประโยชน์มหาศาลของทั้งสองประเทศ ดังนั้นเรื่องมาตรการกีดดันการค้าน่าจะเป็นหนังยาวและทำให้ห่วงโซ่การผลิตและการตลาดเปลี่ยนแปลงทั่วโลก ซึ่งแต่ละประเทศก็ต้องค่อยๆปรับตัวรับกันไป
- ตลาดน้ำมัน : ราคา BRENT อ่อนตัว
# สัญญาน้ำมันดิบ BRENT ปิดลดลง 0.88 ดอลลาร์ มาปิดที่ 62.60 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากสต็อกที่สูงของสหรัฐยังคงกดดันราคาน้ำมันดิบ
# ความเห็น DBSVTH Retail Research : ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมีกลับมาอยู่ใน Sentiment ที่เป็นลบเล็กๆซึ่งต้องไปลุ้นอีกทีก่อน 6 ธ.ค.61 ซึ่งกลุ่มโอเปกจะมีการประชุมกันเพื่อหาข้อตกลงเรื่องการลดปริมาณการผลิตในปี 62ลง 1.4 ล้านบาร์เรล และเราเชื่อว่าจะมีการเก็งกำไรกับ Story นี้เป็นรอบๆ แต่ Gap ของราคาหุ้นอาจจะไม่มากนักเนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ลดลงในปีหน้าก็ทำให้อัตราการขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันชะลอลงด้วยเช่นกัน
ปัจจัยในประเทศ
• ธปท.ระบุว่าธ.พ.ไม่จำเป็นต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ถ้าสภาพคล่องในระบบยังสูง
# นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธปท.เห็นว่าหากจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ก็ไม่มีแรงกดดันที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์จะต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามในทันที โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เนื่องจากมองว่าขณะนี้ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีสภาพคล่องอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ประกอบกับในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ธนาคารพาณิชย์สามารถทำกำไรได้ดีกว่าอยู่แล้ว
# ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ในการประชุมกนง.ครั้งล่าสุด แม้จะมีกรรมการที่เห็นควรให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 3 เสียง แต่อีก 4 เสียงเห็นควรให้คงดอกเบี้ยนั้น แต่ทุกคนยังเห็นตรงกันว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายยังจำเป็นสำหรับประเทศไทย เพียงแต่ระดับการผ่อนคลายที่มากเป็นพิเศษแบบที่เคยเป็นมาอาจจะลดความจำเป็นลง เราต้องประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพราะแม้เศรษฐกิจหลายตัวยังมีโมเมนตัมการขยายตัวได้ดี แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยเศรษฐกิจภายนอกประเทศ เช่น สงครามการค้า การส่งออก และการท่องเที่ยว ขณะเดียวกันการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำเป็นเวลานาน และต่ำมากเป็นพิเศษ ย่อมจะทำให้เกิดจุดเปราะบาง และส่งผลข้างเคียงต่อระบบการเงินไทยได้
• GDP ไทยปี 62 มีโอกาสโต 4-4.5% หนุนโดยการลงทุนภาครัฐ & เอกชน และเงินสะพัดจากเลือกตั้ง
# นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมว.ประจำสำนักนายกฯ มองเศรษฐกิจไทยปี 2562 มีโอกาสขยายตัวได้ 4-4.5% จากปัจจัยการลงทุนที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า ส่งผลให้เกิดเงินสะพัดในช่วงเลือกตั้ง
# ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2561 มีโอกาสขยายตัว 4.2-4.3% ซึ่งในช่วง 2 เดือนสุดท้าย (พ.ย.-ธ.ค.) หากมูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ 7-8% ต่อเดือน และท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ก็เชื่อว่าไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับ 4%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : [email protected]