- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 21 November 2018 16:01
- Hits: 5379
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ดาวโจนส์ น้ำมันดิ่งแรง ติดตามส่งออก ต.ค.”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปิดตลาดดิ่งลึก -24.45 จุด ณ ระดับ 1612.03 จุด หลังไปทำยอดต่ำสุดของวันที่ 1610.18 จุด ปรับลดมากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าการซื้อขายเบาบางเป็น 36.4 พันล้านบาท SET มีปัจจัยลบเข้ามามาก คือ สภาพัฒน์ฯเผยตัวเลข GDP 3Q61 ต่ำกว่าคาด และปี 62 คาดการณ์การเติบโตไม่สูง ดาวโจนส์ร่วงลงถึง 395 จุด รองประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวไม่ยกเว้นภาษีนำเข้าจีน หุ้นกลุ่มหลัก ธนาคาร พลังงาน และอสังหาฯปรับลงมาก ด้านผู้ขายสุทธิเป็นต่างชาติ 2.2 พันล้านบาทสถาบัน 1.5 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ นักลงทุนทั่วไป 3.6 พันล้านบาท และ บัญชีหลักทรัพย์ 0.01 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีปัจจัยลบต่างประเทศเข้ามามาก คือ ดาวโจนส์ดิ่งแรงถึง 552 จุด น้ำมัน WTI ร่วงถึง 6.6% หุ้นกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะต้นนํ้าอย่าง PTTEPอาจปรับลดมากและถ่วงดัชนีฯ บอนด์ยิลด์สหรัฐฯ 10 ปี ดัชนีความกลัว (VIX) ปรับขึ้น บาทอ่อน เงินไหลออก ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ลดลงมากกว่า 1% วันนี้ติดตามตัวเลขส่งออก ต.ค.61 หลังก.ย. -5.2% และ GDP 3Q61 ไทยไม่สดใส ด้านดาวโจนส์ล่วงหน้า +21 จุด ณ 7:55 น. หาก SET ถูกขายแนวรับถัดไปคือ 1600-1590 แนวตัดขาดทุนน้อยกว่า1610 จุด แต่หาก SET รีบาวด์ได้ แนวต้านถัดไปคือ 1620-1630 ด้านปัจจัยในประเทศ รัฐพยายามออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งท่องเที่ยว ช็อปช่วยชาติ และ ธอส.ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ การเมืองอยู่ในช่วงแบ่งเขตเลือกตั้ง และกังวลจะเลื่อนเวลาเลือกตั้งไปบ้าง ส่วนปัจจัยลบเดิมๆยังค้างคา จึงคงต้องระวังการลงทุน เช่น แรงขายจากต่างชาติ สงครามการค้าสหรัฐ-จีน เศรษฐกิจโลกถดถอย นักท่องเที่ยวจีนมาไทยน้อยลง ข้อดีคือ จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ป แม้ปัญหา Emerging Market (EM) ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุนEM น้อยลง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วง ธ.ค.) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป และกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูงนักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดังนั้นดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวเมื่ออ่อนตัว ตามปัจจัยต่างประเทศที่ยังกดดัน
Update หุ้นเด่น: JKN – คาดกำไรสุทธิ 4Q61 จะกลับมาเติบโตดีขึ้น หลังค่าใช้จ่ายขาย-บริหารต่อยอดขายคาดว่าจะลดลงหลังบันทึกไปมากใน 3Q61 ส่วนปี 62 ยังคงเติบโตได้สูงต่อเนื่อง จากความนิยมซีรีย์อินเดียที่สูงขึ้น (ได้ลิขสิทธิ์นาคี-2 เพื่อขายในต่างประเทศแล้ว) และความร่วมมือกับ BEC ในการนำละครไปขายในตลาดต่างประเทศ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 14.50 บาท อิงกับ P/E ปี 62 ที่ 22 เท่า ถือว่าเป็นหลักทรัพย์ที่มีการเติบโตสูง (Growth Stock) คาด EPS growth ปี 61/62/63 ไว้ที่ 27%/48%/21%การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบต่อ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1620-1630-1640 แนวรับ 1600-1590 จุด แนวตัดขาดทุน ต่ำกว่า 1610 จุด
ด้านหุ้นที่คาดว่ามีสัญญาณบวกทางเทคนิค มีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ BDMS,JKN ที่ยังอยู่ใน List คือ EGCO,LPH หุ้นที่หลุด List คือAAV,PTL,GLOBAL,VGI,M,INTUCH,GLOW,AOT,CPALL ส่วนที่หาจังหวะ Take Profit คือ –ไม่มี-
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ร่วงอีก 552 จุด หลังราคาน้ำมันตกแรง หุ้นเทคโนโลยีดิ่ง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,465.64 จุด ร่วงลง 551.80 จุด หรือ -2.21% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่6,908.82 จุด ลดลง 119.65 จุด หรือ -1.70% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,641.89 จุด ลดลง 48.84 จุด หรือ -1.82%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 6% นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นแอปเปิลที่ทรุดตัวลงเกือบ 5% หลังจากบริษัทได้ปรับลดคำสั่งผลิต iPhone ใหม่ 3 รุ่น ขณะที่ผลประกอบการอันย่ำแย่ของบริษัททาร์เก็ต และโคห์ล คอร์ป ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ได้ฉุดหุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลงด้วยเช่นกัน
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ดิ่ง หลังตลาดหุ้นนิวยอร์คลงแรง และสหรัฐมีแนวโน้มไม่ลงโทษซาอุ
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 3.77 ดอลลาร์ หรือ 6.6% ปิดที่ 53.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 2560 ส่วนสัญญาน้ำมันดิบ WTI เดือนธ.ค.ได้ครบกำหนดส่งมอบแล้วเมื่อวานนี้
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 4.26 ดอลลาร์ หรือ 6.4% ปิดที่ 62.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 6% เมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) เนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเทขายสินทรัพย์เสี่ยง นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังร่วงลงหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ซาอุดีอาระเบียเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ของสหรัฐ และยังส่งสัญญาณว่าสหรัฐอาจจะไม่ใช้มาตรการลงโทษซาอุดีอาระเบีย ในกรณีการฆาตกรรมนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบีย ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนหน้า
# ตลาดน้ำมันสหรัฐจะปิดทำการในวันพฤหัสบดีที่ 22 พ.ย.นี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day)
• ทองคำ : ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 4.1 ดอลลาร์ หรือ 0.33% ปิดที่1,221.2 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำได้รับปัจจัยหนุนในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนจำนวนหนึ่งยังคงเดินหน้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้
-ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้าน ต.ค.61 สหรัฐฯ ยังเพิ่มขึ้น
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ1.228 ล้านยูนิต จากระดับ 1.210 ล้านยูนิตในเดือนก.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.225 ล้านยูนิตในเดือนต.ค.
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค., ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมาร์กิต
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหุ้น-อุตสาหกรรม
+/- ติดตามตัวเลขส่งออก ต.ค.61 ประกาศวันนี้
# วันนี้จะมีการประกาศตัวเลขส่งออกในเดือน ต.ค.61 จากที่ตลาดคาดในเบื้องต้นว่าจะขยายตัว 3.85% ฟื้นจากเดือนก.ย.ที่ติดลบ 5.20% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 19 เดือน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดจีดีพีในไตรมาส 3/61 ท่ามกลางสภาวะการกีดกันทางการค้า โดยเฉพาะสหรัฐ-จีน
+ ครม.อนุมัติฟรีค่าธรรมเนียม VOA แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มอีก 4 ประเทศ
# ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้มีมติอนุมัติให้ยกเลิกค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่องเที่ยว (Visa On Arrival : VOA) เพิ่มอีก 4 ประเทศ คือ นาอูร วานูอาตู จอร์เจีย และเม็กซิโก ทำให้ปัจจุบันมีประเทศที่ได้รับสิทธิ VoA รวม 18 ประเทศ และ 1เขตเศรษฐกิจ(ไต้หวัน)
# นอกจากนี้ ยังอนุมัติการผ่อนผันให้นักท่องเที่ยวสามารถอยู่ในประเทศไทยได้ไม่เกิน 30 วัน (ผ.30) โดยไม่ต้องขอวีซ่าอีก7 ประเทศ คือ ลิทัวเนีย ลัตเวีย อันดอร่า ซานมาริโน่ ยูเครน มัลดีฟส์ และมอร์ริเชียส
# หลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์คือ บริหารสนามบิน เดินทาง ท่องเที่ยว และ โรงแรม หลักทรัยพ์ที่แนะนำ ซื้อ คือ AOT, BA,MINT และ ERW
+ กระทรวงการคลังกำลังพิจารณามาตรการช็อปช่วยชาติในช่วงปลายปีนี้ ช่วยเหลือแท็กซี่และวิน มอร์เตอร์ไซ
# นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการช็อปช่วยชาติ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ ครม.ได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้
# ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีนั้น นายสมคิด กล่าวว่า ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME Bank ได้เตรียมเสนอปรับโครงสร้างหนี้ครั้งใหญ่ และการออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มแท็กซี่และวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงเดือนธ.ค.นี้
# หลักทรัพย์ที่ได้ประโยชน์คือ พาณิชย์ หลักทรัยพ์ที่แนะนำ ซื้อ คือ BJC, CPALL และ HMPRO
+ยานยนต์: ส.อ.ท.ได้ปรับเพิ่มประมาณการผลิตรถยนต์ปี 61
# ส.อ.ท.ได้ปรับประมาณการผลิตรถยนต์ปี 61 โดยเพิ่มเป้าการผลิตเป็น 2.1 ล้านคัน จากเดิมที่ 2.08 ล้านคัน โดยเป็นการปรับเพิ่มเป้าผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 2 หมื่นคัน มาที่ 1 ล้านคัน จากเป้าเดิมที่ 9.8 แสนคัน ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกคงเป้าเดิมที่ 1.1 ล้านคัน
+ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.61 เพิ่มขึ้น
# ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.61 อยู่ที่ระดับ 92.6 เพิ่มขึ้นจากระดับ 91.5 ในเดือนก.ย.61
+ การเมือง: กกต.ประกาศจัดเลือกตั้ง ส.ว.ตั้งแต่ 16-27 ธ.ค.61 เปิดรับสมัคร 26-30 พ.ย.61
# เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่อง กำหนดวันเลือกและวันรับสมัครสมาชิกวุฒิสภา โดยกำหนดวันเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอ วันที่ 16 ธันวาคม 2561, วันเลือกระดับจังหวัด วันที่ 22ธันวาคม 2561 และวันเลือกระดับประเทศ วันที่ 27 ธันวาคม 2561 ส่วนกำหนดวันรับสมัครสมาชิกวุฒิสภาตั้งแต่วันที่ 26-30 พฤศจิกายน 2561 ระหว่างเวลา 08.30-16.30 น.ใน 10 กลุ่มอาชีพ
+ ครม.เห็นชอบ ธอส.เดินหน้าโครงการบ้านล้านหลัง ราคาขายไม่เกิน 1 ล้านบาท
# ครม.เห็นชอบ ธอส.เดินหน้าโครงการบ้านล้านหลัง ราคาขายไม่เกิน 1 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ 3% นาน 5 ปีแรก ผ่อน3,800 บาท/เดือน เริ่มเปิดจองสิทธิ์สินเชื่อ 50,000 ล้านบาท ธ.ค. นี้
# สินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) วงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้กู้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณสมบัติพร้อมกับปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดนำไปจัดทำที่อยู่อาศัยที่มีราคาขาย ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหน่วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมดของโครงการ
# ผลกระทบ: แม้จะเป็นลบกับกลุ่มสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ แต่ปัจจุบันบ้านระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท จะเป็นสัดส่วนที่น้อย สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ที่ทำสินค้าที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับ 1 ล้านบาท ที่จะได้รับประโยชน์จากการกู้ ก็มีไม่มากนัก เช่น LALIN, LPN และ PSH เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]