- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 16 November 2018 15:18
- Hits: 1609
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“มีข่าวสหรัฐชะลอภาษีนำเข้าจากจีน แต่ไม่ยืนยัน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปิดตลาด -13.47 จุด ณ ระดับ 1638.83 จุด ใกล้เคียงยอดต่ำสุดของวันที่ 1638.67 จุด ไปในทางแย่กว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนใหญ่รีบาวด์ มูลค่าการซื้อขายปานกลางเป็น 44.2 พันล้านบาท ดัชนีฯอยู่ในเขตลบตลอดวัน และกลับมีแรงขายมากในช่วงท้ายตลาดฯ นับได้ว่าตลาดขาดปัจจัยใหม่ๆ ผลประกอบการ 3Q61 ธุรกิจหลักออกมาไม่สดใส แต่บางบริษัทมีรายการพิเศษมาช่วย กลับมากังวลกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย หลังโหวตเสียงแตกมากขึ้น ส่วนปัจจัยลบต่างประเทศเดิมๆก็ยังรบกวน ด้านผู้ซื้อสุทธิเป็น นักลงทุนทั่วไป 1.8 พันล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ 1.1 พันล้านบาท ส่วนผู้ขายสุทธิคือ ต่างชาติ 1.5 พันล้านบาท และสถาบัน 1.3 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET มีโอกาสจะรีบาวด์ หลังมีข่าวว่าสหรัฐชะลอการเก็บภาษีนำเข้าจากจีน แต่ยังไม่ยืนยัน ติดตามการเจรจานอกรอบ G20 เริ่มปลายเดือนนี้ดาวโจสน์เพิ่มไปถึงกว่า 200 จุด ล่าสุดราคาน้ำมันกลับมาฟื้นตัวเล็กน้อย หลังมีข่าวโอเปกจะประชุมลดกำลังการผลิต ตลาดหุ้นเพิ่อนบ้านรีบาวด์เป็นส่วนใหญ่ ดัชนีความกลัว(VIX) ลดลง แต่ปัจจัยลบคือ บาทอ่อนค่าลง หลังดอลลาร์แข็งเทียบปอนด์ หลังการเมืองผันผวนมากที่อังกฤษเกี่ยวกับ Brexit บอนด์ยิลด์ 10 ปีกลับมาเพิ่มเล็กน้อย ด้านดาวโจนส์ล่วงหน้า -32 จุด ณ 8:20 น. หาก SET รีบาวด์ได้ แนวต้านถัดไปคือ 1645-1650 แต่หากถูกขายแนวรับถัดไปคือ 1630-1620 ด้านปัจจัยในประเทศ ประชุม กนง. ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่เสียงโหวตแตกมากขึ้น แต่เราไม่คาดว่าจะรีบขึ้นดอกเบี้ย การเมืองเรื่องเลือกตั้งมีไทม์ไลน์ออกมา แต่เป็นไปตามคาด ส่วนปัจจัยลบเดิมๆยังค้างคา จึงคงต้องระวังการลงทุน เช่น แรงขายจากต่างชาติ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ส่วนตัวเลขส่งออกไทย ก.ย.พลิกลดลง 5.2% ก็ยังสร้างความวิตกเพิ่มขึ้น รอดู ต.ค.61นักท่องเที่ยวจีนมาไทยน้อยลง ข้อดีคือ จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ป แม้ปัญหา Emerging Market (EM) ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วง ธ.ค.) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป และกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่าซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดังนั้นดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวเมื่ออ่อนตัว ตามปัจจัยต่างประเทศที่ยังกดดัน
Update หุ้นเด่น: HANA – บริษัทมี Core Profit 3Q61 เท่ากับ 833 ล้านบาท (+29%YoY, +65%QoQ) ดีกว่าที่เราและตลาดคาด ยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นดีใน 3Q61ยอดขายเติบโต +6%YoY, +6%QoQ เป็น 182 ล้านดอลลาร์ หนุนโดยชิ้นส่วน IC ที่ขยายตัวดี (+11%QoQ) อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มได้อย่างแข็งแกร่งเป็น 18% ใน 3Q61 คงคำแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 43.50 บาท อิงกับ P/E ปี 62 ที่ 15 เท่า โดยกำไรสุทธิ 9M61 คิดเป็น 77% ของประมาณการทั้งปีของเรา คาดการณ์ว่ายอดขายชิ้นส่วน IC จะยังคงแข็งแกร่งต่อใน 4Q61 ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 23%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1645-1650-1655 แนวรับ 1630-1620 จุด
ด้านหุ้นที่คาดว่ามีสัญญาณบวกทางเทคนิค มีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ HANA,EGCO,PTL,JWD ที่ยังอยู่ใน List คือ BLA,SCC,AAV หุ้นที่หลุด ListคือTCAP,CPN,GLOW,AOT,HMPRO,GFPT ส่วนที่หาจังหวะ Take Profit คือ –ไม่มี- นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับเพิ่ม สอดรับความหวังสหรัฐ-จีนผ่อนคลายการค้า
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,289.27 จุด พุ่งขึ้น 208.77 จุด หรือ +0.83% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,730.20 จุด เพิ่มขึ้น 28.62 จุด หรือ +1.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,259.03 จุด เพิ่มขึ้น 122.64 จุด หรือ +1.72%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (15 พ.ย.) หลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สรายงานว่า สหรัฐได้ชะลอการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเอาไว้ชั่วคราว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มส่งสัญญาณคลี่คลายลง นอกจากนี้ การฟื้นตัวของราคาหุ้นแอปเปิลยังช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นด้วย
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ฟื้นตัวต่อ โอเปกเตรียมลดกำลังการผลิต
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 56.46 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 66.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 พ.ย.) แม้สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยสัญญาน้ำมันดิบยังคงได้แรงหนุนจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) ส่งสัญญาณปรับลดการผลิต
• ทองคำ : ปรับขึ้น หลังการเมืองอังกฤษผันผวน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4.90 ดอลลาร์ หรือ 0.4% ปิดที่1,215.00 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 พ.ย.) เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในอังกฤษส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ขณะที่สัญญาพัลลาเดียมพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า ความต้องการพัลลาเดียมซึ่งเป็นโลหะที่ใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมนั้น จะเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
+/• มีข่าวสหรัฐชะลอการเก็บภาษีนำเข้าจากจีน แต่ยังไม่ยืนยัน
# ไฟแนนเชียล ไทม์สรายงานว่า นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้เปิดเผยกับผู้บริหารในแวดวงอุตสาหกรรมของสหรัฐว่า รัฐบาลสหรัฐได้ชะลอการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเอาไว้ชั่วคราว
# แม้ว่าโฆษกของนายไลท์ไฮเซอร์ได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าวของไฟแนนเชียล ไทม์สในเวลาต่อมา แต่ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงเคลื่อนไหวในแดนบวกจนกระทั่งปิดทำการซื้อขาย
# มีการคาดการณ์กันว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะพบปะกันนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา ในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค. เพื่อเจรจาแก้ไขความขัดแย้งทางการค้า
-/+ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ 2 ตัวเป็นลักษณะ Mix
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนต.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5%หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนก.ย. โดยการดีดตัวขึ้นของยอดค้าปลีกในเดือนต.ค.ได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายรถยนต์และวัสดุก่อสร้าง
# ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 2,000 ราย สู่ระดับ 216,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 212,000 ราย
+ ปอนด์ ยูโรกลับมาอ่อนค่า Brexit มีปัญหา ดอลลาร์แข็งค่า
# เงินปอนด์ร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (15 พ.ย.)หลังจากรัฐมนตรีหลายคนของอังกฤษประกาศลาออกเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อข้อตกลงว่าด้วยการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ยื่นต่อสหภาพยุโรป (EU)
• ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# ในวันนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ในเวลา 21.15 น.ตามเวลาไทย
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหุ้น-อุตสาหกรรม
-/• สนช. เลื่อนลงมติร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ วาระ 2-3 วานนี้มาเป็นวันนี้ 10.00 น.
# คณะกมธ.ยังได้บัญญัติบทเฉพาะกาลมาตรา 90 ขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นการกำหนดให้ใน 2 ปีแรกของการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พ.ร.บ.นี้ ให้ใช้อัตราภาษีตามมูลของฐานภาษีตามที่มาตรา 90 บัญญัติ โดยยังคงแบ่งประเภทที่ดินเป็น 4 ประเภท คือ ที่ดินเพื่อการเกษตร หากมีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 50 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 1 ล้านบาท ต่อ 100 บาท ยกเว้น 3 ปีแรกไม่ต้องเสียภาษี แต่นิติบุคคลรายใหญ่ เริ่มจัดเก็บทันที และที่ดินมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี มูลค่า 50 ล้านบาทขึ้นไป เสียภาษีในอัตรา 1 ล้านบาทต่อ 200 บาท โดยบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป ทุก ๆ 1 ล้านบาท เสียภาษี 200 บาท ห้องเช่า /บ้านเช่า เจ้าของที่ดินเป็นผู้รับผิดชอบ / ตามสัญญาที่ตกลง
# ด้านที่ดินเพื่อการพาณิชย์-อุตสาหกรรม จัดเก็บอัตราขั้นบันได สูงสุดไม่เกิน 0.7% ของราคาประเมิน แต่โรงพยาบาล ,สนามกีฬา ,สนามกอล์ฟ ,สถานศึกษาเอกชน ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 90% ของราคาประเมินและที่ดินรกร้าง ว่างเปล่าเก็บในอัตราตั้งแต่ 0.3 - 3% ของราคาประเมิน และทุก 3 ปี ต้องเสียเพิ่ม 0.2 - 0.3 % ต่อเนื่องไม่เกิน 27 ปี หรือจนกว่าจะมีการใช้ประโยชน์จากที่ดิน
+ ปี 62 ตั้งเป้าส่งออกไปจีน 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 12%
# รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 62 กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าการส่งออกไปจีนไว้ที่50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 12%
+ โครงการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เข้าครม.ต้น ธ.ค.นี้
# ดร.กอบศักดิ์ เตรียมเสนอโครงการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC) เข้า ครม.ภายในต้นเดือน ธันวาคม นี้ หวังเชื่อมโยงการค้า การลงทุนออกไปสู่มหาสมุทรอินเดีย
# ท่าเรือดังกล่าว จะครอบคลุม 4 จังหวัดภาคใต้ได้แก่จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งถือเป็นประตูสู่ภาคใต้และยังจะเชื่อมโยงไปถึงโครงการ EEC ผ่านทางรถไฟทางคู่ จะทำให้เป็นหัวใจในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคต
-/• PTT มองราคาน้ำมันร่วงอาจกระทบผลงานกลุ่มธุรกิจขั้นต้น แต่ข้อดีคือ ทำกำไรในรอบ 9M61 ไว้ดีพอควร
# นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบ ดูไบ ในช่วงนี้จนถึงปลายปีนี้น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบร่วงลงแรงเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอาจจะส่งต่อผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ อย่างบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่จะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงโดยตรง แต่เชื่อว่าภาพรวมทั้งปีนี้จะไม่ได้กระทบมากนัก เพราะในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้กลุ่ม ปตท.นับว่าสามารถทำผลการดำเนินงานได้ดี
# ผลกระทบ: ฝ่ายวิจัยฯ DBSVTH เห็นว่า ราคาน้ำมันที่ปรับลงแรง จะทำให้หลักทรัพย์กลุ่มพลังงานมีความเสี่ยงที่จะเกิดขาดทุนจากสต็อค (Inventory Losses) ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบ Brent อยู่ที่ราว 66 เหรียฐต่อบาร์เรล แต่ ณ สิ้น 3Q61 อยู่ที่ 83 เหรียฐต่อบาร์เรล ต่างจาก 2Q61 ที่อยู่ในภาวะที่มีกำไร ส่วน PTTEP ก็จะได้รับผลลบโดยตรงมากกว่ากลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี ซึ่งขึ้นกับอุปสงค์เป็นสำคัญกว่า ในความเป็นจริงก็มีผู้ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันต่ำ ได้แก่อุตสาหกรรมและขนส่ง แต่ก็มี Market Cap น้อยในตลาดหลักทรัพย์ไทยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ก็จะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ หลักทรัพย์ทีแนะนำ ซื้อในกลุ่มการบินคือ BA ราคาพื้นฐาน 17.00 บาทโดดเด่น ประกาศกำไร 3Q61 ออกมาดีกว่ากลุ่ม แนะนำ ถือ สำหรับ AAV ราคาพื้นฐาน 4.65 บาท และ THAIราคาพื้นฐาน 14.00 บาท
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]