- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 09 November 2018 23:13
- Hits: 6235
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ความชัดเจนที่มีมากขึ้นในส่วนของกำหนดการเลือกตั้ง 24 ก.พ.62 เป็นปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่น และเป็นสัญญาณบวกสำหรับ Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มไหลกลับเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะเห็นการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนในช่วงต้นปี 2562 สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวน่าจะทำให้ SET Index สามารถยืนระดับสูงบริเวณ 1700 จุดได้ แต่การที่จะทะลุผ่านขึ้นไป ยังต้องการแรงหนุนเพิ่ม หุ้น Top Picks วันนี้ยังคงเลือก KBANK (FV@B251) และ CPF(FV@B30) ตามเดิม
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ …. SET Index แกว่งตัวปิดบวก
วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยช่วงเช้าเปิดตลาดบวก 10 จุด และแกว่งในแดนบวกตลอดวัน ก่อนจะปิดที่ 1681.73 จุด เพิ่มขึ้น 6.4 จุด (+0.38%) มูลค่าการซื้อขาย 4.92 หมื่นล้านบาท Sentiment เชิงบวกหลังเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐเสร็จสิ้น หนุนตลาดหุ้นในเอเชียและหุ้นไทยยืนในแดนบวก โดยกลุ่ม พลังงาน-ปิโตรฯ ยังคงเป็นกลุ่มหลักที่หนุนตลาดฯโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ของกลุ่มฯ อย่าง PTT (+1.0%) PTTEP(+1.09%) ส่วน IVL(+4.6%) กำไรออกมาดีกว่าคาด เพิ่มขึ้น 22% qoq ส่วนแนวโน้มใน 4Q61 ลดลง กดดันหลักจาก spread ผลิตภัณฑ์ปัจจุบันที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาหุ้นของกลุ่มค้าปลีก-ธ.พ. ปรับตัวขึ้นต่อ
สำหรับแนวโน้ม SET Index วันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสพักตัว แนวต้าน 1690 จุด แนวรับ 1670 จุด โดยเชื่อว่าตลาดสะท้อนประเด็นบวกทั้งการเลือกตั้งสหรัฐฯ และความชัดเจนทางการเมืองของไทยไปบ้างแล้ว ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ยังไม่ฟื้นตัวอาจกดดันราคาน้ำมันและหุ้นในกลุ่มน้ำมันอย่าง PTT, PTTEP ในระยะต่อไป
Fed ส่งสัญญาณขึ้น ธ.ค. ชัดเจน หนุนดอลลาร์แข็งค่า กดดันราคาน้ำมันร่วงต่อ
ผลการประชุม Fed คือยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ตามตลาดคาด โดย Fed ยังมีมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐขยายแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดแรงงาน (อัตราการว่างงานสหรัฐเดือน ต.ค. ต่ำสุดในรอบ 49 ปี ) และเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นตามกรอบ(14 พ.ย. รายงานเงินเฟ้อสหรัฐ เดือน ต.ค. ตลาดคาด 2.5% จาก 2.3% เดือน ก.ย. สูงกว่าดอกเบี้ยนโยบาย) แม้การลงทุนจะส่งสัญญาณชะลอลงจากช่วงต้นปี ผลจากสงครามการค้า แต่เศรษฐกิจโดยรวมแข็งแกร่ง และได้ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุม ธ.ค.นี้ และคาดว่าจะทยอยปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับผลสำรวจโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยใน Bloomberg คาดในรอบ ธ.ค. ราว 74.4% และในปี 2562-2563 Fed มีแผนจะขึ้นอีก 3 ครั้ง และ 2 ครั้ง ตามลำดับ
การส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยฯ ส่งผลให้ Dollar Index วานนี้แข็งค่า 0.5% และตั้งแต่ต้นปีแข็งค่าราว 4.9%ytd ทำให้ค่าเงินประเทศในแถบเอเซียอ่อนค่าเกือบทุกสกุล และกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบโลกยังอ่อนตัวต่อเนื่อง (ราคาน้ำมันดูไบหลุด 70 เหรียญครั้งแรกในรอบ 7 เดือน อยู่ 69.4 เหรียญ) ถูกกดดันจากปัญหา Supply ที่เพิ่มขึ้นจาก สหรัฐ, รัสเซียและซาอุดิอาระเบีย ที่ผลิตเพื่อชดเชยการผลิตที่หายไปจากอิหร่าน และความต้องการใช้น้ำมันโลกมีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐ-จีน น่าจะกดดันราคาน้ำมันในระยะยาว
ASPS ปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ ปี 2562 ไปที่ 65 เหรียญฯ และ 70 เหรียญฯ ในปี 2563 เป็นต้นไป โดยทุกราคาน้ำมันดิบระยะยาวที่ลดลง 5 เหรียญฯ จากสมมติฐาน ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2562 และ 2563 ของ PTTEP ลดลง 13.3% และ 15.6% จากเดิม ส่วน PTT ลดลง 9.7% และ 7.0% จากเดิม โดยยังแนะนำ “switch” ทั้ง PTTEP (FV’62 @148B) และ PTT (FV’ 62 @56B) จาก upside ที่ยังจำกัด
กำหนดการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. ชัดเจน สร้างความเชื่อมั่น
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้แถลงถึงกำหนดการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. (ตามรายละเอียดในตารางข้างต้น) โดย ยังคงกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส. ไว้เป็นวันที่ 24 ก.พ.2562 หลังจากนั้นก็ดำเนินกระบวนการในการรับรองผลการเลือกตั้ง การเปิดประชุมสภา การสรรหานายกรัฐมนตรี และการจัดตั้ง คณะรัฐมนตรี ชุดใหม่ โดยคาดว่า รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง จะสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้ในราวเดือน มิ.ย.2562 ส่วน การได้มาซึ่ง ส.ว. จำนวน 250 คน (แยกเป็นส่วนของ ส.ว. ที่เป็นโดยตำแหน่ง 6 คน) คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงราว 27 เม.ย.2562
กำหนดการที่ชัดเจนดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ และน่าจะทำให้เริ่มเห็นการไหลกลับเข้ามาของ Fund flow จากนักลงทุนต่างชาติ แต่อย่างไรก็ตามหากกระบวนการต่างๆ ดำเนินไปตามแผน ก็เป็นไปได้ที่จะเห็นการไหลกลับเช้ามาของ Fund Flow ที่ชัดเจนขึ้นในช่วงต้นปี 2562 นับเป็นสภาพแวดล้อมที่น่าจะทำให้ SET Index สามารถพยุงตัวอยู่ที่ระดับสูงได้ และน่าจะทำให้ปรับขึ้นไปเหนือระดับ 1700 จุดได้ในปี 2562 ส่วนจะขึ้นไปได้มากน้อยเพียงใดองค์ประกอบส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง และการเดินหน้านโยบายในการบริหารประเทศ ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาค รวมถึงไทย
ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรคเดโมแครตได้กลับมาครองเสียงข้างมากน่าจะช่วยค้านอำนาจนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้บ้าง ซึ่งเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นโลกรวมถึงตลาดหุ้นภูมิภาคให้กลับมาฟื้นตัว โดยวานนี้เริ่มเห็นการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นในหลายแห่งทั่วโลก และเงินทุนต่างเริ่มกลับเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาค หลังจากที่วานนี้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคอีก 647 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียวที่ต่างชาติขายสุทธิ 13 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิวันก่อนหน้า) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 ประเทศต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อ นำโดยตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ซื้อสุทธิมูลค่า 460 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน), ไต้หวัน 80 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2), อินโดนีเซีย 76 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 11) และไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 45 ล้านเหรียญ หรือ 1.46 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิ 3.5 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย ต่างชาติขายสุทธิ 457 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ขณะที่ Bond Yield 10 ปี ยังทรงๆตัวอยู่ที่ 2.80% หลังจากขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี ที่ 2.89% เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 61 ที่ผ่านมา ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
118 บริษัท 41% ของ Market Cap ประกาศกำไร 1.35 แสนล้านบาท โต 31.6% YoY
การประกาศผลประกอบการ 3Q61 จนถึงวานนี้ มีบริษัทที่ประกาศงบฯ แล้วราว 118 บริษัท หรือคิดเป็น 41% ของ Market Cap. ทั้งตลาดฯ ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 1.35 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับงวด 3Q60 เฉพาะ บจ. ที่ประกาศงบฯ แล้ว ปรากฏว่า เติบโต 31.6%yoy และเทียบกับ 2Q61 เติบโต 4.7%qoq และหากพิจารณาเฉพาะภาค real sector มีกำไรสุทธิราว 7.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.3%yoy และ 19.5%qoq
ในเบื้องต้น หากเปรียบเทียบกันเป็นรายกลุ่มฯ สามารถสรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้
กลุ่มฯ ที่กำไรสุทธิเติบโตทั้ง yoy และ qoq คือ กลุ่มพลังงาน (หลักๆ มาจาก PTTEP BCPG) ,กลุ่มปิโตรเคมี (GGC และ IVL), กลุ่มอสังหาฯ (LPN) และกลุ่มยานยนต์ (STANLY)
กลุ่มฯ ที่กำไรสุทธิเติบโต yoy แต่ลดลง qoq คือ กลุ่มขนส่ง (หลักๆ มาจาก THAI)
กลุ่มฯ ที่กำไรสุทธิเติบโต qoq แต่ลดลง yoy คือ กลุ่มเกษตร-อาหาร (หลักๆ มาจาก TWPC, VPO)
กลุ่มฯ ที่กำไรสุทธิลดลงทั้ง yoy และ qoq คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (หลักๆ จาก SCC) กลุ่ม ICT (จาก ADVANC, INTUCH, DTAC, JAS และ JASIF)
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิของตลาดฯ ทั้งปี 2560 ที่ 1.07 ล้านล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 5.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ของประมาณการฯ ทั้งปี ดังนั้น หากจะเป็นไปตามที่ประเมินไว้ ผลการดำเนินงานรวมในงวด 3Q61 นี้ ไม่ควรต่ำกว่า 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นไปได้หรือไม่นั้น ตัวแปรหลักๆ จะอยู่ที่กลุ่มพลังงาน กลุ่ม ICT และกลุ่มค้าปลีก
กลยุทธ์การลงทุน เน้น Domestic Play และหุ้นพื้นฐานดี Upside สูง
ฝ่ายวิจัยยังแนะนำหุ้นที่อิงกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน (ดังตารางด้านล่าง) ร่วมกับหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มี Upside สูง คือ KBANK (FV@B 251) ราคาหุ้นปรับลดลงมาแรงหลังการแถลงแผนงาน ขณะที่นักวิเคราะห์เห็นว่าไม่น่าจะนำไปสู่การปรับประมาณการ ทำให้ Upside เปิดกว้างขึ้น อีกบริษัทหนึ่งที่น่าสนใจได้แก่ CPF (FV@B 30) โดยราคาหมูที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง น่าจะช่วยหนุนผลประกอบการ และขับเคลื่อนราคาหุ้น อีกทั้งราคาปัจจุบันยังให้ Dividend Yield สูงกว่า 3% ต่อปี
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์