WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASPบล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
กลยุทธ์การลงทุน
แรงหนุนจากผลการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐฯ รวมถึงการเตรียมมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยเพิ่ม และการแถลงเรื่องกรอบเวลาทางการเมืองในบ่ายวันนี้ น่าจะหนุนให้ SET Index ดีดตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังจะคงเห็นความไม่นิ่งของสถานการณ์ เฉพาะอย่างยิ่งในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้การไหลเข้าของ Fund Flow ยังไม่ชัดเจน แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นที่มีปัจจัยบวกหนุนและปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง โดยวันนี้เลือก KBANK (FV@B 251) ที่ Upside เปิดกว้าง และ CPF(FV@B30) หลังราคาหมูขยับเพิ่มต่อเป็น 64 บาทต่อ กก. 
 
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ …. SET Index ดีดกลับสู่แดนบวกได้สำเร็จ
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวน โดยดัชนียืนอยู่ในแดนบวกได้เพียงช่วงสั้นๆ หลังเปิดตลาดฯ ได้ไม่นาน ก่อนมีแรงขายกดดันจนดัชนีไหลลงมาในแดนลบตลอดช่วงบ่าย แต่สุดท้ายก็มีแรงซื้อกลับในช่วงท้ายของการซื้อขายดัน SET Index ให้สามารถขึ้นมาปิดในแดนบวกที่ 1675.33 จุด  เพิ่มขึ้น 6 จุด (+0.36%) มูลค่าการซื้อขาย 5.1 หมื่นล้านบาท แรงหนุนดัชนีจากหุ้นพลังงาน-ปิโตร PTT เพิ่มขึ้น 1.01% IVL เพิ่มขึ้น 0.5% และ  PTTGC เพิ่มขึ้น 0.97% รับกำไร 3Q โตตามคาด  ตามด้วยหุ้นในกลุ่มค้าปลีก BJC (+0.9%) HMPRO (+1.4%) จากพัฒนาการเชิงบวกจากธุรกิจ HMPRO ในประเทศมาเลเซียดีขึ้น และ ROBINS (+3.4%) แรงซื้อรับงบ 3Q61 ที่คาดว่าจะเติบโตทั้ง qoq และ yoy 

สำหรับแนวโน้ม SET Index วันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นได้ต่อ แนวต้าน 1685 จุด แนวรับ 1665 จุด อานิสงส์จาก Sentiment เชิงบวกของการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ รวมทั้งนโยบายกระตุ้นภาคท่องเที่ยวหนุนหุ้นกลุ่มโรงแรม ERW, CENTEL และกลุ่มค้าปลีก ROBINS BJC CPALL อย่างไรก็ตาม ยังต้องให้น้ำหนักเรื่องสงครามการค้า รวมทั้งราคาน้ำมันดิบดูไบที่ยังไม่ฟื้นตัว กดดันหุ้นน้ำมันทั้ง PTT, PTTEP 
เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ 2 พรรคครองเสียงข้างมากคนละสภา มีผลต่อนโยบายทรัมป์ปีหน้า 
ผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ (Midterm elections) อย่างไม่เป็นทางการ (ล่าสุดนับคะแนนราว 97%) ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 435 ที่นั่ง นับผลจนถึงปัจจุบันพรรคเดโมแครตพลิกกลับมาครองเสียงข้างมาก โดยเอาชนะพรรครีพับลิกัน 223 ต่อ 200 ที่นั่ง ส่วนวุฒิสภาที่เลือกตั้งครั้งนี้ 35 ที่นั่ง (จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง) พรรครีพับลิกันยังครองเสียงข้างมาก 51 ต่อ 46 ที่นั่ง  
ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ
 
ที่มา : CNN politics, 8 พ.ย. 2561
การที่ทั้ง 2 พรรคครองฐานเสียงคนละสภาดังกล่าวข้างต้น  ทำให้เชื่อว่าจะมีผลต่อการผลักดันนโยบายสำคัญของรัฐบาลทรัมป์ในอนาคต เชื่อว่าจะไม่เร็วเหมือนในช่วงที่ 2 ปีผ่านมาและจะมีอุปสรรคในการผ่าน อาทิ นโยบายปฏิรูปภาษีในประเทศที่ทรัมป์เสนอในการหาเสียงก่อนเลือกตั้งกลางเทอม  เนื่องจากทั้งสองพรรคมีความเห็นแตกต่างกัน  ขณะที่มาตรการกีดกันการค้ากับทั่วโลก คาดจะยังสามารถเดินหน้าต่อเนื่อง เนื่องจากความเห็นตรงกัน  ยกเว้นผลที่เกิดขึ้นเริ่มกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐรุนแรง  ถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐในระยะถัดไป 
ส่วนการประชุม Fed วันนี้เป็นวันที่ 2 ของการประชุม (ทราบผลราวเช้ามืดวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย) ตลาดคาดจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยฯ ในรอบนี้ แต่น่าจะไปขึ้นในการประชุมรอบ ธ.ค. ราว 0.25% สิ้นปีอยู่ที่ 2.5% แทน สะท้อนจากผลสำรวจโอกาสขึ้นดอกเบี้ยของ Bloomberg คาดโอกาสขึ้นดอกเบี้ยรอบ พ.ย. เพียง 5.7% และรอบ ธ.ค.ราว 76.3% และปี 2562-2563 คาดจะขึ้นอีก 3 ครั้งและ 2 ครั้ง ตามลำดับ  อย่างไรก็ตาม Fed จะขึ้นดอกเบี้ยตามแผนที่วางไว้ได้หรือไม่  ขึ้นกับแนวโน้มเงินเฟ้อต่อจากนี้แม้จะยังขยายตัว แต่อาจไม่เร็วและแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา
ด้วยแนวโน้มวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น และ Fund Flow ที่เริ่มไหลกลับเข้ามา ส่งผลดีต่อหุ้น ธ.พ. ขนาดใหญ่อย่าง KBANK(FV’62@B251) ที่ราคาเริ่มฟื้นตัว และยังคาดหวัง Upside ได้สูงกว่า 28%
ราคาน้ำมันดิบดูไบอ่อนตัวต่อ  จากปัญหา Supply หลังสต็อกน้ำมันเพิ่มต่อเนื่อง 7 สัปดาห์ 
ราคาน้ำมันดิบดูไบยังอ่อนตัวต่อเนื่อง เนื่องจากเมื่อวานนี้สำนักงานด้านสารสนเทศการพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ล่าสุดเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 7 สัปดาห์ราว 5.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาด  2.4 ล้านบาร์เรล  เนื่องจากเป็นช่วงโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง  และยังถูกกดดันจากปัญหา supply จากผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก 2 รายคือ  ซาอุดิอาระเบีย ล่าสุดผลิตเป็นวันละ 10.7 ล้านบาร์เรล(เทียบกับ 10.1 ล้านบาร์เรล เดือน พ.ค.)  และ รัสเซีย ผลิตวันละ 11.41 ล้านบาร์เรล (เทียบ 10.9 ล้านบาร์เรลเดือน พ.ค.) และมีแนวโน้มผลิตเพิ่มหลังสิ้นสุดสัญญาควบคุมการผลิต OPEC และ Non OPEC ใน  ธ.ค. ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันโลก มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ยังมีอยู่ และหากพิจารณาดัชนีชี้นำเศรษฐกิจโลกสำคัญอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก คือ สหรัฐ รองลงมาคือ จีน , ญี่ปุ่น,  อินเดีย, รัสเซีย อย่างไรก็ตามเชื่อว่า Supply-Demand น้ำมันดิบดูไบเข้าสู่ภาวะสมดุล และน่าจะกลับมา oversupply อีกครั้งในปี 2562 ซึ่งน่าจะกดดันราคาน้ำมันดิบดูไบต่ำกว่า 70 เหรียญฯ  ASPS ปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ ปี 2562 ไปที่ 65 เหรียญฯ และ 70 เหรียญฯ ในปี 2563 เป็นต้นไป โดยผลจากการศึกษา พบว่า ทุกราคาน้ำมันดิบระยะยาวที่ลดลง 5 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากสมมติฐาน ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2562 และ 2563 ของ PTTEP ลดลง 13.3% และ 15.6% จากเดิม ส่วน PTT ลดลง 9.7% และ 7.0% จากเดิม และพร้อมปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2562 ที่ 148 บาท/หุ้น และ 56 บาท/หุ้น ตามลำดับ ยังแนะนำ Switch ทั้ง PTTEP, PTT
 
Fund Flow เริ่มไหลกลับมาตลาดหุ้นภูมิภาค รวมถึงไทย 
หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ และพรรคเดโมแครตได้กลับมาครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรในรอบ 8 ปี น่าจะช่วยคานอำนาจนโยบายที่ร้อนแรงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลก รวมถึงตลาดหุ้นภูมิภาคกลับมาฟื้นตัว ขณะเดียวกันวานนี้ต่างชาติยังสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคกว่า 930 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) และเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นเกาหลีใต้เพียงแห่งเดียวที่ถูกขายสุทธิ 64 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 ประเทศต่างชาติซื้อสุทธิ คือ ฟิลิปปินส์ถูกซื้อสุทธิ 728 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน), ไต้หวัน 210 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว), อินโดนีเซีย 50 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 10) และไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 7 ล้านเหรียญ หรือ 215 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 2.64 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย ต่างชาติสลับมาขายสุทธิ 5.68 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน) แบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น (T<1) 5.08 พันล้านบาท และตราสารหนี้ระยะยาว (T>1) 602 ล้านบาท ขณะที่ Bond Yield 10 ปี  ยังทรงๆตัวอยู่ที่ 2.80%
  
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
 
รัฐออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มเติม กลุ่มค้าปลีกได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน 
ตามที่ ครม. มีมติเห็นชอบ ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival (VOA) ให้กับ 21 ประเทศ ส่งผลดีโดยตรงต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว - โรงแรม เนื่องจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวมากที่สุด 30% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม แม้มาตรการนี้จะเป็นการชั่วคราวเพียง 2 เดือน คือ 1 ธ.ค. 61 – 31 ม.ค. 62 แต่ก็เชื่อว่าภาครัฐน่าจะมีการต่ออายุมาตรการนี้ออกไป เช่นเดียวกับช่วงปี 2559-60 ที่รัฐบาลเคยมีมาตรการที่คล้ายกันกับมาตรการนี้ โดยช่วงแรกเป็นระยะเวลา 3 เดือน (1 ธ.ค. 59 – 28 ก.พ. 60) และต่ออายุอีก 6 เดือน (1 มี.ค. – 31 ส.ค. 60) ซึ่งในช่วงเวลา 9 เดือนดังกล่าว กลุ่มท่องเทียว-โรงแรม ปรับขึ้นถึง 5.6% โดย ERW เพิ่มขึ้นกว่า 30% ตามด้วย MINT เพิ่มขึ้น 8.2% และ CENTEL เพิ่มขึ้น 2.5%
ผลตอบแทนหุ้นโรงแรม เทียบกับกลุ่มฯ และ SET Index ช่วง 1 ธ.ค. 59 – 31 ส.ค. 60
 
ยิ่งไปกว่านั้น ภาครัฐยังเตรียมจัดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว “โครงการพาสปอร์ตพริวิเลจ” (แคมเปญ ลดแลกแจกแถม เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติซื้อสินค้าในประเทศไทยและแสดงพาสปอร์ตกับห้างค้าปลีก ร้านอาหาร โรงพยาบาล ที่เข้าร่วมโครงการฯ) ควบคู่ไปกับมาตรการก่อนหน้า เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 61 – 31 ม.ค. 62 นับว่าเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีกอีกทางหนึ่ง 
โดยก่อนหน้านี้ ASPS ประเมินว่าเมื่อเข้าใกล้ช่วงเวลาเลือกตั้ง กลุ่มค้าปลีกตอบรับกับกระแสการเลือกตั้งได้ดีกว่าตลาดฯ ผลตอบแทนเฉลี่ยกลุ่มฯ ในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งสูงถึง 7.1% ด้วยความน่าจะเป็นถึง 75%
 
ผลตอบแทนหุ้นในกลุ่มค้าปลีกฯ ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน จากการเลือกตั้ง 4 ครั้งหลังสุด
 
หมายเหตุ : ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งปี 2544, 2548, 2550 และ 2554 (ไม่นับการเลือกตั้งในปี 2549 และ 2557 เนื่องจากเป็นโมฆะ) หากคิดเฉพาะผลตอบแทนเฉลี่ยก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน ปี 2544, 2548 และ 2554 (3 ปี) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9%
 
ขณะที่ช่วงไตรมาส 4 ยังเป็นช่วง High Season ของกลุ่มค้าปลีก เนื่องจากจะเข้าสู่ช่วงของการจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปี อีกทั้งภาคครัวเรือนในประเทศเริ่มฟื้นตัวขึ้น หนุนกำลังซื้อดีขึ้น และเมื่อรวมกับแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวข้างต้น จึงเชื่อว่าผู้ประกอบการห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น ROBINS และ BIGC (BJC ถือหุ้น 99.85%) รวมทั้งร้านค้าสะดวกซื้ออย่าง CPALL น่าจะได้ประโยชน์ 
คาดราคาหุ้นในกลุ่มฯ จะตอบรับในทิศทางบวก ฝ่ายวิจัยจึงเลือก ROBINS (FV’62@B74), BJC (FV@B69) และ CPALL (FV’62@B80
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
 ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
 โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
   ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!