- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 07 November 2018 22:44
- Hits: 6281
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“แถลงผลเลือกตั้งสหรัฐพฤหัส คาดเฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปิดตลาดลดลง -1.25 จุด ที่ 1669.33 จุด ถือว่าปรับลงใกล้เคียงจุดต่ำสุดของวัน หลังช่วงแรกบวกไปทำยอดสูงสุดที่ 1684.44จุด มูลค่าการซื้อขายกลับมาเบาบางเป็น 39.2 พันล้านบาท ตลาดรอผลการเลือกตั้งกลางปีสหรัฐฯ แต่ปัจจัยลบต่างประเทศยังกดดันคือ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง บอนด์ยิลด์10 ปี ปรับขึ้น โดยเฟดจะประชุมอีกครั้งเริ่ม 7-8 พ.ย.นี้ เกิดความสับสนว่าทรัมป์จะมีท่าทีเจรจาการค้าจีนในเชิงบวกหรือไม่ หุ้นกลุ่มหลักปรับลงโดยเฉพาะ BEAUTY ADVANC และEA ด้านผู้ขายสุทธิยังเป็น นักลงทุนทั่วไป 2.0พันล้านบาท และสถาบัน 0.2 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ ต่างชาติ 2.2 พันล้านบาท และ พอร์ตโบรกเกอร์ 0.02 พันล้านบาทแนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET คาดว่าเป็นลักษณะ Sideways ได้รับผลลบจากกำไร KCE ออกมาน่าผิดหวัง ฉุดหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยังรอผลการเลือกตั้งกลางปีสหรัฐฯ ที่จะทราบผลชัดเจนพฤหัสนี้ ตลาดส่วนใหญ่มองผลออกมาในทางบวก ดาวโจนส์วานนี้เพิ่มขึ้น อีกทั้งรอถ้อยแถลงเฟดที่เริ่มประชุมวันนี้ถึง 8 พ.ย.61 คาดว่าจะยังไม่ขึ้นครั้งนี้ แต่รอรอบ ธ.ค.61 มากกว่า บอนด์ยิลด์ 10 ปี และ ดัชนีความกลัว (VIX) ทรงตัวในเกณฑ์สูง ยังมีความสับสนว่าทรัมป์จะมีท่าทีเจรจาการค้ากับจีนดีขึ้นจริงหรือไม่ในการประชุมนอกรอบG20 หลังที่ปรึกษาออกมาปฏิเสธว่าให้มีการทำแผน หรือทรัมป์แค่หาเสียงให้พรรคตนเอง สำหรับราคาน้ำมันปรับลง กลายเป็นมาตรการแซงชันอิหร่านอ่อนกว่าคาด มีการผ่อนผันให้ 8 ประเทศยังนำเข้าจากอิหร่านได้ PMI ยุโรปออกมาต่ำสุดเกือบ 2 ปี ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้บวกมากกว่าลบ ดาวโจนส์ล่วงหน้า -42 จุด ณ 8:06 น. ด้านปัจจัยในประเทศจับตาการผ่อนเกณฑ์หาเสียงเลือกตั้ง ส่วนปัจจัยลบเดิมๆยังค้างคา จึงคงต้องระวังการลงทุน เช่น ต่างชาติขายหนัก กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ส่วนตัวเลขส่งออกไทยก.ย.พลิกลดลง 5.2% ก็ยังสร้างความวิตกเพิ่มขึ้น รอดู ต.ค.61 ข้อดีคือ จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ป แม้ปัญหา Emerging Market (EM) ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่าEM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลงส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วง ธ.ค.) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป และกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทยกลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1550-1710 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดังนั้นดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวเมื่ออ่อนตัว ตามปัจจัยต่างประเทศที่กดดันหนัก
Update หุ้นเด่น: BEM – คาดกำไร 3Q61 แข็งแกร่ง โดยประมาณการไว้ที่ 3.2 พันล้านบาท (+238%YoY, +225%QoQ) หนุนโดย กำไรพิเศษ 2.2 พันล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากขายเงินลงทุนใน CKP ด้านกำไรจากการดำเนินงานเติบโต 5%YoY หนุนโดยการเติบโตของรายได้ทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน และมีโอกาสได้รับค่าชดเชยจากกทพ.จากคดีเก่าๆที่ค้างมา ทั้งรายได้ทางด่วนและค่าผ่านทางรวมแล้ว 13 พันล้านบาทก็จะเป็นส่วนเพิ่ม (Upside) ต่อไป แนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 9.60 บาท (SOP) ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 10%การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1690-1710 แนวรับ 1660,1650 แนวตัดขาดทุน คือ ต่ำกว่า 1645 จุด
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น มองบวกผลการเลือกตั้งกลางเทอม
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,635.01 จุด พุ่งขึ้น 173.31 จุด หรือ +0.68% ขณะที่ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,755.45 จุด เพิ่มขึ้น 17.14 จุด หรือ +0.63% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,375.96 จุด เพิ่มขึ้น 47.11 จุดหรือ +0.64%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 พ.ย.) ก่อนที่ตลาดจะรู้ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนคาดหวังว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้จะช่วยให้ตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับทิศทางการเมืองในสหรัฐขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงมติการประชุมในวันพฤหัสบดีตามเวลาสหรัฐ
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง สหรัฐฯยกเว้น 8 ประเทศนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านได้
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 62.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 1.04 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 72.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 พ.ย.) หลังจากสหรัฐประกาศผ่อนผันให้ 8ประเทศ ซึ่งรวมถึงจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ยังคงสามารถนำเข้าน้ำมันอิหร่านต่อไป นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นของรัสเซีย สหรัฐ และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
• ทองคำ : ปรับลง รอผลการเลือกตั้ง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 6.00 ดอลลาร์ หรือ 0.49% ปิดที่1,226.30 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (6 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สอง ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ
+/- จับตาการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ
# นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในวันนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐทั้งสภา คือจำนวน 435 คน ขณะที่เลือกสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 35 คนจากทั้งหมด 100 คน รวมทั้งเลือกผู้ว่าการรัฐ36 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ
# นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า พรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนพรรครีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาดังกล่าวก็จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นทั้งนี้ หากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ทั้ง 2 สภา สิ่งนี้ก็จะทำให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากจะทำให้รัฐบาลมีแนวโน้มออกมาตรการปรับลดอัตราภาษีต่อไป แต่หากพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา ก็จะทำให้ตลาดหุ้นถูกกดดันเนื่องจากจะทำให้การผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นไปอย่างลำบาก
-/+ เฟดมีการประชุมวันนี้-8 พ.ย.61
# นักลงทุนยังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 7-8 พ.ย.นี้ รวมทั้งรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้เช่นกัน ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ย.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหุ้น-อุตสาหกรรม
+/• ครม.ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยแล้ว แต่ก็เป็นไปตามคาดก่อนหน้า
# ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราของคนต่างด้าว ซึ่งประสงค์จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวเป็นเวลาไม่เกินสิบห้าวัน ในกรณียื่นขอรับการตรวจลงตราณ ช่องทางอนุญาตของด้านตรวจคนเข้าเมือง (Visa On Arrival) จากเดิมที่ให้มีการเก็บอัตราค่าธรรมเนียม ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว จำนวนเงิน 2,000 บาท เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 61 ถึงสิ้นเดือนมกราคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน
# ผลกระทบ: คาดว่าจะเป็นประโยชน์กับกลุ่มเดินทาง สนามบิน และโรงแรม แต่ก็ถือว่าเป็นไปตามคาดอยู่แล้ว นักลงทุนจับตามองตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน 4Q61 จะกระเตื้องดีขึ้นหรือไม่ หลังตั้งแต่ ก.ค.61 ปรับตัวลงต่อเนื่อง เพราะอุบัติเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต
+ ดึง'แจ็คหม่า'ฟื้นทัวร์จีน กระตุ้นท่องเที่ยวโค้งสุดท้าย
# "สมคิด" หารือ แจ็ค หม่า ขอความร่วมมือช่วยโปรโมทท่องเที่ยว ใช้แคมเปญวันคนโสด 11/11 ทำวีดิโอ พรีเซนต์ 20วินาที เข้าถึงคนจีน 800 ล้านคน "สมคิด"แย้มอาจเป็น พรีเซนเตอร์เอง ดึงคนจีนเที่ยวไทยเพิ่ม
-เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 มีแนวโน้มเติบโตชะลอตัวลง
# ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ปี 2561 จะเติบโตชะลอลงจากช่วงครึ่งปีแรก จากหลายเครื่องชี้ที่สำคัญ ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว การเบิกจ่ายของภาครัฐ รวมทั้งผลผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว แต่มองภาพรวมเศรษฐกิจไทย และการเติบโตของมูลค่าการส่งออกทั้งปี2561 ยังอยู่ในกรอบประมาณการ โดย GDP ขยายตัว 4.4-4.8% และการส่งออกขยายตัว 8.0-10.0%
-สรท.คาดการส่งออกของไทยปี 62 เติบโตชะลอลง
# สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก ประเมินว่า การส่งออกของไทยในปี 62 จะขยายตัวได้5% จากในปี 61 ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตในระดับ 8% (ก่อนหน้าคาดโต 9%) หลังการส่งออกในเดือนก.ย. 61 หดตัว -5.2%
-จะมีการเก็บภาษีความเค็มสำหรับอาหาร
# "สรรพสามิต" จ่อชงครม.อนุมัติแพ็คเกจภาษีใหม่ เน้นยกระดับคุณภาพชีวิต เล็งเก็บภาษีสินค้าที่ให้ ความเค็มมี "เกลือ-โซเดียม" เป็นส่วนประกอบ ยึดหลักการ เดียวกับ "น้ำตาล" เปิดโอกาสผู้ประกอบการปรับตัว 5 ปี พร้อมหนุนอุตสาหกรรม"เอส-เคิร์ฟ" ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แจงเร่งปรับสูตรสินค้า รับอาจกระทบ ยอดขายช่วงสั้น รอลุ้นอัตราจัดเก็บกระทบต้นทุนหรือไม่
# ผลกระทบ: อาจมีผลกระทบกับหลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจอาหาร เช่นเดียวกับตอนเก็บภาษีความหวาน และไขมันทรานส์ ทำให้ต้องมีการปรับตัว และมีผลกับยอดขายในระยะสั้น ตามรสชาติอาหารที่ไม่เหมือนเดิม อย่างไรก็ตามการเปิดช่องเวลาให้ปรับตัว จะช่วยลดทอนผลกระทบได้ สำหรับหลักทรัพย์กลุ่มสหพัฒน์ที่เกี่ยวกับธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่อาจได้รับผลกระทบคือ SPI และ SPC
+ นายกฯ ย้ำปลดล็อคการเมืองทำตามขั้นตอนกม. มอบ"วิษณุ"แจงรายละเอียดขั้นตอน
# พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการปลดล็อคพรรคการเมืองให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองว่า ขณะนี้จะมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งออกมาแล้ว ซึ่งทุกอย่างจะดำเนินการไปตามไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับ คสช. โดยการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายจะเป็นอย่างไรนั้น ได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงรายละเอียดก่อนการเลือกตั้งให้สื่อมวลชนรับทราบต่อไป
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]