- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 November 2018 22:44
- Hits: 3264
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“แนวโน้ม Sideways ติดตามเลือกตั้งกลางปีสหรัฐฯ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TU (จากถือเป็นซื้อ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปิดตลาดลดลง -11.26 จุด ที่ 1670.58 จุด ถือว่าปรับลงน้อยกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าการซื้อขายกลับมาเบาบางเป็น38.0 พันล้านบาท มีปัจจัยลบต่างประเทศกดดันคือ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังรายงานจ้างงานนอกภาคการเกษตร ค่าจ้างรายชั่วโมงออกมาสูง บอนด์ยิลด์ 10 ปี ปรับขึ้นโดยเฟดจะประชุมอีกครั้ง 7-8 พ.ย.นี้ เกิดความสับสนว่าทรัมป์จะมีท่าทีเจรจาการค้าดีกับจีนมากขึ้นจริงหรือไม่ หลังที่ปรึกษาฯออกมาปฏิเสธ หุ้นกลุ่มหลักปรับลงคือ สื่อสารพาณิชย์ และพลังงาน ด้านผู้ขายสุทธิยังเป็น นักลงทุนทั่วไป 0.2 พันล้านบาท และสถาบัน 0.2 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ พอร์ตโบรกเกอร์ 0.3 พันล้านบาท และต่างชาติ 0.1พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ Sideways รอผลการเลือกตั้งกลางปีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันนี้ หากรีพับลิกันได้คะแนนมาก ดาวโจนส์จะตอบรับในทางบวก เพราะทรัมป์จะออกกฎหมายลดภาษีได้ แต่หากเดโมแครตได้มากก็จะออกมาในโทนลบ แต่ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นลบคือ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง บอนด์ยิลด์ 10 ปีปรับขึ้นเป็น 3.2108% ดัชนีความกลัว (VIX) ก็สูงขึ้นเช่นกัน โดยเฟดจะประชุมอีกครั้ง 7-8 พ.ย.นี้ เกิดความสับสนว่าทรัมป์จะมีท่าทีเจรจาการค้ากับจีนดีขึ้นจริงหรือไม่ในการประชุมนอกรอบ G20 หลังที่ปรึกษาออกมาปฏิเสธว่าให้มีการทำแผน หรือทรัมป์แค่หาเสียงให้พรรคตนเอง สำหรับราคาน้ำมันปรับลง กลายเป็นมาตรการแซงชันอิหร่านอ่อนกว่าคาด มีการผ่อนผันให้ 8 ประเทศยังนำเข้าจากอิหร่านได้ ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้รีบาวด์ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +41 จุด ณ 8:23 น. ด้านปัจจัยในประเทศจับตาการผ่อนเกณฑ์หาเสียงเลือกตั้งส่วนปัจจัยลบเดิมๆยังค้างคา จึงคงต้องระวังการลงทุน เช่น ต่างชาติขายหนัก กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย ความขัดแย้งสหรัฐ-ซาอุ สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ปัญหางบประมาณอิตาลีส่วนตัวเลขส่งออกไทย ก.ย.พลิกลดลง 5.2% ก็ยังสร้างความวิตกเพิ่มขึ้น ข้อดีคือ จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ป แม้ปัญหา Emerging Market (EM) ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุนEM น้อยลง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วง ธ.ค.) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป และกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play)รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1550-1720 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดังนั้นดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวเมื่ออ่อนตัว ตามปัจจัยต่างประเทศที่กดดันหนัก
Update หุ้นเด่น: MINT – คาดว่าวันนี้ครม.จะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งธุรกิจโรงแรมจะได้ประโยชน์ ขณะที่ตามผลการทำเทนเดอร์ฯ NH Hotel จะถือหุ้นถึง94.1% มากกว่าคาด แต่กลับเห็นว่าการลงทุนครั้งนี้จะสร้างผลประโยชน์ในระยะยาว แม้ในระยะสั้นอาจประสบปัญหางบดุลมีความตึงตัวขึ้น คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะเพิ่มไปเป็น 1.9 เท่า แต่บริษัทก็มีแผนที่จะลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในอนาคตอย่างชัดเจนให้เป็น 1.3 เท่า ด้วยวิธีปรับมูลค่ายุติธรรมจากการซื้อและออกหุ้นกู้ไม่มีวันหมดอายุ ดึงให้มีอัตราส่วนนี้ต่ำกว่าข้อจำกัด (Debt Covenant) ที่ 1.75 เท่า แต่บริษัทเน้นว่าจะไม่มีการเพิ่มทุนในทุกกรณี คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาพื้นฐาน 46.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCFการวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1690-1710 แนวรับ 1660,1650 แนวตัดขาดทุน คือ ต่ำกว่า 1645 จุด
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้น มีแรงซื้อหุ้นการเงิน-พลังงาน จับตาการเลือกตั้งกลางปี
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,461.70 จุด เพิ่มขึ้น 190.87 จุด หรือ +0.76% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่2,738.31 จุด เพิ่มขึ้น 15.25 จุด หรือ +0.56% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,328.85 จุด ลดลง 28.14 จุด หรือ -0.38%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มพลังงานที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากหุ้นแอปเปิลร่วงลงเกือบ 3% หลังจากสื่อรายงานว่าบริษัทแอปเปิล อิงค์ เตรียมยุติแผนเพิ่มกำลังการผลิต iPhone XR นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐจะมีขึ้นในวันนี้
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับลง สหรัฐฯยกเว้น 8 ประเทศนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านได้
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 4 เซนต์ หรือประมาณ 0.09% ปิดที่ 63.10 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 34 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 73.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) หลังจากสหรัฐประกาศผ่อนผันให้ 8ประเทศยังคงสามารถนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านได้ต่อไป โดยรัฐบาลสหรัฐได้เริ่มบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเมื่อวานนี้ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะกดดันให้อิหร่านยกเลิกโครงการนิวเคลียร์
• ทองคำ : ปรับลง รอผลการเลือกตั้ง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.00 ดอลลาร์ หรือ 0.08% ปิดที่1,232.30 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (5 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐจะมีขึ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ นอกจากนี้ การดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐยังส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
+/- จับตาการเลือกตั้งกลางปีสหรัฐฯ
# นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในวันนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐทั้งสภา คือจำนวน 435 คน ขณะที่เลือกสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 35 คนจากทั้งหมด 100 คน รวมทั้งเลือกผู้ว่าการรัฐ36 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ
# ขณะที่ผลการสำรวจของเอ็นบีซี นิวส์/วอลล์สตรีท เจอร์นัลพบว่า พรรคเดโมแครตยังคงมีคะแนนนำพรรครีพับลิกันอยู่7% โดยอยู่ที่ 50% ต่อ 43%
# นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า พรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนพรรครีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาดังกล่าวก็จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นทั้งนี้ หากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ทั้ง 2 สภา สิ่งนี้ก็จะทำให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากจะทำให้รัฐบาลมีแนวโน้มออกมาตรการปรับลดอัตราภาษีต่อไป แต่หากพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา ก็จะทำให้ตลาดหุ้นถูกกดดันเนื่องจากจะทำให้การผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นไปอย่างลำบาก
-/+ เฟดมีการประชุม 7-8 พ.ย.61 นี้
# นักลงทุนยังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 7-8 พ.ย.นี้ รวมทั้งรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้เช่นกัน ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ย.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหุ้น-อุตสาหกรรม
+ติดตามมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เสนอครม.วันนี้
# มาตรการคาดว่าจะเป็นเรื่องการลดค่าธรรมเนียมวีซ่า 21 ประเทศ เป็นเวลา 2 เดือน ราว 2 พันบาทต่อคน และ DoubleEntry Visa ให้กับนักท่องเที่ยวจีน เป็นเวลา 180 วัน
# ผลกระทบ: คาดว่าจะเป็นประโยชน์กับกลุ่มเดินทาง สนามบิน และโรงแรม หลักทรัพย์ที่แนะนำ ซื้อ คือ AOT, ERW และMINT
+ COM7: ส่งบริษัทย่อย ปิดดีลซื้อหุ้น DRL มูลค่าลงทุน 210 ลบ.
# ขยายอาณาจักรค้าปลีกไอทีและสมาร์ทโฟน ส่งบริษัทย่อย "บานาน่า กรุ๊ป" เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ "ดีเอ็นเอ รีเทล ลิ้งค์หรือ DRL" จำนวน 1.5 ล้านหุ้น ใช้เงินลงทุน 210 ล้านบาท ได้สิทธิ์การบริหารร้าน KingKong Phone 95 สาขา เจาะตลาดสมาร์ทโฟนในพื้นที่ต่างจังหวัด ดีลครั้งนี้จะสามารถเพิ่มยอดขายสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน และได้สาขาในทำเลทองตามHypermarket ต่างจังหวัด ที่ COM7 ยังเข้าไม่ถึง หนุนสาขาภายใต้การบริหารของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น จากสิ้น Q3/61 มีสาขารวมกันแล้ว 512 สาขาทั่วประเทศ และคาดจะโอนหุ้นดังกล่าวเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ทันทีต้นปี 62 (Aspen)
# เป็นบวกคือ ใช้กลยุทธ์การเติบโตโดยเพิ่มสาขา ที่รุกไปตลาดต่างจังหวัดซึ่งเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่แนะนำเพียง ถือ เพราะแม้มีเรื่องราวที่ดี และอัตราการเติบโตกำไรที่สูง ปีนี้และปีหน้าที่ 34%/24% เทียบ y-o-y แต่ในแง่การประเมินมูลค่าหุ้นพบว่าไม่ถูก P/E ปี 61 ที่ 32.1 เท่า ด้านเรื่องราวที่ดีคือ คาดการณ์การเติบโตแข็งแกร่ง สืบเนื่องจากการเปิดตัวสินค้าใหม่หลายแบรนด์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง 2H61 ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์การขยายสาขา (outlet) คาดว่าปีนี้เป็น629 แห่งจากปี 60 ที่ 434 แห่ง และได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (economy of scale) และการบริหารร้านTrue Shops ตอนนี้กลับมากำไรแล้ว
-GPSC: 4Q61 ไม่สดใสนัก จากการมีกำหนดการซ่อมบำรุง หลัง 3Q61 กำไรเติบโตเล็กน้อย
# ผลประกอบการประจำไตรมาส 3/61 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 899 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% y-o-y แต่ลดลง 15% q-o-q
# คาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/61 จะถูกกระทบจากแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า และต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน ขณะที่ค่าเอฟทียังคงเดิม แต่ยืนยันจะบริหารจัดการการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งจะทำให้ผลประกอบการอยู่ในระดับที่ดีเทียบกับปีก่อนได้
# ส่วนการเข้าซื้อหุ้น บมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) จะยังไม่อาจสำเร็จลงในอนาคตอันใกล้ แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทไม่ลดละที่จะแสวงหาโอกาสการเติบโตทางด้านอื่น ๆ ทั้งการเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของกลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT) โดยเฉพาะเขต EEC
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]