- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 November 2018 22:27
- Hits: 3283
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ยังแกว่งตัว หลังตอบรับสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ใน 3 รอบแรก แต่ความเสี่ยงยังไม่จบ เพราะสหรัฐเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนอีก 2.67 แสนล้านเหรียญฯ น่าจะชัดเจนในต้น ธ.ค. นี้ ซึ่ง เป็นประเด็นกดดันเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันโลก และจะทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบหลุด 70 เหรียญฯ ขณะที่รัฐเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศต่อเนื่อง โดยวันนี้ ครม. น่าจะอนุมัติให้ ยกเว้นวีซานักท่องเที่ยว 21 ประเทศ บวกหุ้นโรงแรมเต็ม ๆ โดยเฉพาะ ERW ([email protected]) จึงเลือกเป็น Top pick วันนี้ และชอบ ROBINS(FV’62 ปี @B74) และ WHA([email protected])
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ ….พลังงาน-ธ.พ. กดตลาดฯ
วานนี้ตลาดหุ้นไทยย่อตัวปิดตลาดแดนลบ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเอเชีย โดย SET Index เปิดตลาดร่วง 10 จุด และแกว่งในแดนลบตลอดทั้งวันและปิดตลาดที่ 1670.58 จุด ลดลง 11.26 จุด (-0.67%) มูลค่าการซื้อชายเบาบาง 3.8 หมื่นล้านบาท การย่อตัวของหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่ม พลังงาน ทั้ง PTT (-1.01%) PTT (-2.5%) และธนาคารฯ SCB KBANK KTB กดดันดัชนีฯ รวมถึงแรงขายทำไรหุ้นที่ปรับขึ้นมาแรงอย่าง MTC (-1.8%) และ CPALL (-1.5%) ส่วนรายหุ้น TU ปรับตัวขึ้น 4.2% รับงบ 3Q61 ดีกว่าคาด
แนวโน้ม SET Index วันนี้ยังคงแกว่งตัวในกรอบ คาดมีโอกาสฟื้นตัวต่อ แต่ยังติดแนวต้าน 1680-1660 จุด ยังให้น้ำหนักการประกาศ สงครามการค้า สหรัฐ-จีน เพิ่มเติม รอบใหม่อีก 2.57 แสนล้านเหรียญฯ ซึ่งน่าจะทราบผลหลังการประชุมผู้นำ G-20 30 พ.ย.-1 ธ.ค. นี้ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันดิบดูไบยังมีแนวโน้มหลุด 70 เหรียญฯ เพราะมิใช่เพียงความต้องการที่ชะลอตัว แต่คาดว่าการผลิตน้ำมันจะทยอยเพิ่ม หลังสหรัฐผ่อนปรน 6 ประเทศ ค้าขายน้ำมันกับอิหร่านได้
รัฐยังกระตุ้นเศรษฐกิจ ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซา หนุน ERW
รัฐยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ล่าสุด กรรรมการบริหารนโยบายพลักงงาน (กบง.) เตรียมช่วยเหลือรถจักรยายนต์สาธารณะ (วิจักรยานยนต์รับจ้าง) ให้ช่วยแก๊สโซฮอล์ 91 และ แก๊สโซฮอล์ 95 ในราคาต่ำกว่าปกติ 3 บาทต่อลิตร เป็นของขัวญปีใหม่ 2562 โดยคาดว่าจะเปิดจำหน่ายได้ 5 ธ.ค. นี้ ด้านผู้ประกอบการ (มาตรา 7) ยื่นความประสงค์เข้าร่วมโครงการ โดยมี PTT นำร่องไปก่อน และที่ประชุม ครม วันนี้ คาด จะพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งถือเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ ปี 2560 ทำรายได้ให้ประเทศสูง 15 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 5% ของ GDP คือ
1) ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival (VOA) ซึ่งปกติจัดเก็บ 2,000 บาทต่อคน ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ 21 แห่ง รวมประเทศจีน เป็นเวลา 2 เดือน ให้เริ่มบังคับใช้วันที่ 15 พ.ย. 2561 – 15 ม.ค. 2562 และ
2) มาตรการวีซ่าแบบ Double Entry Visa แก่นักท่องเที่ยวจีน โดยจ่ายค่าวีซ่าเดินทางเข้าไทย 1 ครั้งในอัตรา 1,000 บาทต่อคน แต่สามารถเดินเข้าไทยได้ 2 ครั้ง ภายใน 180 วัน
ถือเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม คาด ERW ([email protected]) ได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้โรงแรม 10% รองลงมาคือ CENTEL (FV@B56) สัดส่วนรายได้โรงแรมและร้านอาหาร 50% : 50% ส่วน MINT (FV@B48) มีสัดส่วนรายได้โรงแรมและร้านอาหาร 50% : 50% เช่นกัน แต่ฐานรายได้โรงแรมส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ จึงน่าได้ประโยชน์น้อยสุด
มาตราครั้งนี้นับว่า ปี ปี 2559-60 ซึ่งรัฐได้ประกาศลดค่าธรรมเนียมวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวเช่นกัน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราวีซ่า ณ สถานฑูต หรือสถานกงสุลไทย จำนวน 1 พันบาท/คน และลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องอนุญาตของด่านตรวจคนเข้ามาเมืองจากเดิม 2,000 บาท เป็น 1,000 บาท แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ 19 ประเทศ เป็นเวลา 6 เดือน (1 ธ.ค. 2559-31 พ.ค. 2560) และ ช่วง 2 ให้ต่ออายุทั้ง 2 มาตรการเติมอีก 3 เดือน (สิ้นสุด 31 ส.ค. 2560) และเพิ่มเป็น 21 ประเทศ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นผลบวกต่อกลุ่มท่องเทียว-โรงแรม เนื่องจากปรับขึ้นถึง 5.6% โดยในช่วงเวลาดังกล่าว หุ้นในกลุ่มฯ ที่ปรับขึ้นได้มากสุด คือ ERW เพิ่มขึ้นกว่า 30% ตามด้วย MINT เพิ่มขึ้น 8.2% และ CENTEL เพิ่มขึ้น 2.5%
CCI ย่อตัว 2 เดือนติด แต่จะดีขึ้น หากมีเลือกตั้ง 24 ก.พ. 2562
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) เดือน ต.ค. 2561 ลดลง 0.97% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เพราะกังวลต่อ กำลังซื้อที่ลดลงตามราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทั้ง ข้าว, มันสำปะหลัง, ยางพารา ขณะที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น, นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยลดลงกว่าปกติจากผลกระทบของเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต และสงครามการค้าโลก ที่ชัดเจนขึ้น
ผลตอบแทนและโอกาสที่จะเกิดขึ้นของหุ้นค้าปลีก ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาสที่ 4 เป็นช่วง High Season เพราะเข้าสู่ช่วงของการใช้จ่ายช่วงเทศกาลคริสต์มาส และ ปีใหม่ อีกทั้งคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดจาก การหาเสียงเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 24 ก.พ. 2562 ซึ่งสอดคล้องกับสถิติในอดีต พบว่าช่วงเวลาก่อนเลือกตั้ง 3 เดือน หุ้นกลุ่มค้าปลีก จะ สูงถึง 7.1% ด้วยความน่าจะเป็นถึง 75% และหากพิจารณาเป็นรายหุ้นพบว่าที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 2 อันดับแรกคือ ประกอบกับ Valuation ที่น่ายังน่าสนใจ ฝ่ายวิจัยจึงเลือก ROBINS (FV’62 @B74) และ BJC (FV@B69) ส่วน CPALL (FV@B75) อาจจะถูกกดดันจากสังคม หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาแสดงความเห็นในการจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ หลังจากที่บริษัทมีแผนจะเปิดขายอาหารตามสั่งตลอด 24 ชั่วโมง ถ้ารับความเสี่ยงระยะสั้นได้ เป็นหุ้นที่เติบโตไปได้เรื่อย ๆ
Valuation หุ้นค้าปลีก
แรงซื้อหุ้นภูมิภาคชะลอลง…นักลงทุนรอผลการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ
ภาพรวมแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นในภุมิภาคชะลอลง และยังเป็นลักษณะสลับซื้อสลับขายรายประเทศ เนื่องจากนักลงทุนรอความชัดเจนประเด็นการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ (วันที่ 6 พ.ย. 61) รวมถึงการประชุม Fed (วันที่ 7 - 8 พ.ย. 61) โดยวานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค 108 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน) และเป็นขายสุทธิ 2 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ขายสุทธิ 129 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน) และฟิลิปปินส์ 108 ล้านเหรียญ (หลังหยุดทำการไป 2 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 3 ประเทศซื้อสุทธิ คือ ไต้หวัน 63 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6), อินโดนีเซีย 62 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8) และไทย สลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย 4 ล้านเหรียญ หรือ 142 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกันนาน 22 วัน) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 186 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 7 วัน)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิ 611 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) ขณะที่ Bond Yield 10 ปี ยังทรงๆตัวอยู่ที่ 2.80%
ข้อมูลแสดงเงินทุนต่างชาติไหลเข้าออกรายเดือนของแต่ละประเทศในภูมิภาค
ภรณี ทองเย็น
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์