WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
 
“ตัวเลขจ้างงานร้อนแรง สับสนเรื่องการค้าจีน-สหรัฐ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BEM (จากถือเป็นซื้อ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์ – SET Index ปิดตลาดปรับขึ้น +14.29 จุด ที่ 1681.64 จุด ถือว่าปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน เช่น จีน ฮ่องกง และ เกาหลี มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเป็น 60.9 พันล้านบาท ปัจจัยที่บวกคือ มีข่าวว่าสหรัฐจะเจรจาการค้ากับจีน ในการประชุมนอกรอบ G20 ที่จะมีขึ้นตั้งแต่ 30 พ.ย.61 ขณะที่ทรัมป์ทวีตเป็นบวก รอตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร ขณะที่ราคาน้ำมันปรับลง ติดตามการแซงชั่นอิหร่านรอบใหม่ หุ้น ADVANC ปรับลงมากหลัง 3Q61 ออกมาต่ำกว่าคาดและบริษัทแม่INTUCH ลงตาม ด้านผู้ขายสุทธิยังเป็น นักลงทุนทั่วไป 3.0พันล้านบาท และต่างประเทศ 0.6 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 2.7 พันล้านบาท และ พอร์ตโบรกเกอร์ 0.9พันล้านบาท
 
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET ถูกกดดันจากปัจจัยต่างประเทศคือ กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังรายงานจ้างงานนอกภาคการเกษตร ค่าจ้างรายชั่วโมงออกมาสูง บอนด์ยิลด์ 10 ปี ปรับขึ้น โดยเฟดจะประชุมอีกครั้ง 7-8 พ.ย.นี้ เกิดความสับสนว่าทรัมป์จะมีท่าทีเจรจาการค้าดีกับจีนมากขึ้นจริงหรือไม่ในการประชุมนอกรอบ G20 หลังที่ปรึกษาออกมาปฏิเสธ หรือแค่หาเสียงให้เดโมแครต ก่อนเลือกตั้งกลางปี 6 พ.ย.นี้ สำหรับราคาน้ำมันปรับลงและตลาดล่วงหน้าก็ยังปรับลงต่อ กลายเป็นมาตรการแซงชันอิหร่านอ่อนกว่าคาด มีการผ่อนผันให้บางประเทศนำเข้าจากอิหร่านได้ อาจกดดันหุ้นพลังงานบ้านเราให้ลดลง ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ลบถ้วนหน้า ดาวโจนส์ล่วงหน้า -70 จุด ณ 8:13 น. ด้านปัจจัยในประเทศจับตาการผ่อนเกณฑ์หาเสียงเลือกตั้ง ส่วนปัจจัยลบเดิมๆยังค้างคา จึงคงต้องระวังการลงทุน เช่น ต่างชาติขายหนัก กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย ความขัดแย้งสหรัฐ-ซาอุ สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ปัญหางบประมาณอิตาลี ส่วนตัวเลขส่งออกไทย ก.ย.พลิกลดลง 5.2% ก็ยังสร้างความวิตกเพิ่มขึ้น ข้อดีคือ จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ป แม้ปัญหา EmergingMarket (EM) ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลดQE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วง ธ.ค.) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป และกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1550-1720 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPSปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดังนั้นดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวเมื่ออ่อนตัว ตามปัจจัยต่างประเทศที่กดดันหนัก
 
Update หุ้นเด่น: TOP – คาด Core Profit งวด 3Q61 เพิ่มแกร่ง 117%QoQ เป็น 3.3 พันล้านบาท จากอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มสู่ระดับปกติ และค่าการกลั่นสูงขึ้น กำไรธุรกิจปิโตรเคมีดีขึ้น จากมาร์จิ้นของ PX ที่เพิ่ม แนวโน้ม 4Q61 ยังแข็งแกร่ง เพราะราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่ยังคงสูง เพราะเป็นฤดูกาลที่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลและ Jetมาก ส่วนสเปรด PX คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากอุปทานตึงตัว แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 96.50 บาท ซึ่งอิงกับ P/BV ปี 62 ที่ 1.4 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 14%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบเล็กๆ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1690-1710 แนวรับ 1660,1650 แนวตัดขาดทุน คือ ต่ำกว่า 1645 จุด
นักกลยุทธ์&นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลด หุ้นแอปเปิลดิ่ง วิตกเฟดขึ้นดอกเบี้ย จับตาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,270.83 จุด ลดลง 109.91 จุด หรือ -0.43% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,723.06 จุดลดลง 17.31 จุด หรือ -0.63% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,356.99 จุด ลดลง 77.06 จุด หรือ -1.04%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเป็นวันแรกในรอบสี่วันเมื่อวันศุกร์ (2 พ.ย.) โดยถูกกระทบจากการทรุดตัวลงของราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ รวมทั้งการที่นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กระทรวงแรงงานเปิดเผยตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่ง และค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ภายหลังเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีน ก่อนที่ในเวลาต่อมาไม่นาน ปธน.ได้เผยว่า เขาคิดว่า สหรัฐจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีนได้
 
- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ลดลง วิตกน้ำมันล้นตลาด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 55 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 63.14 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 6.6% ในรอบสัปดาห์ ซึ่งเป็นการลดลงสัปดาห์ที่สี่ติดต่อกัน
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 6 เซนต์ หรือไม่ถึง 0.1% ปิดที่ 72.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ลดลงไป 6.2% ซึ่งลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สี่เช่นกัน
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ห้าเมื่อวันศุกร์ (2 พ.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด ภายหลังสหรัฐประกาศผ่อนผันให้ 8 ประเทศยังคงสามารถนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านได้หลังวันที่ 4 พ.ย.
 
• ทองคำ : ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 5.30 ดอลลาร์ หรือ 0.43% ปิดที่1,233.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ขยับลงเล็กน้อย 0.2%
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ (2 พ.ย.) โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ
 
เกิดความสับสน ข้อพิพาททางการค้าจะคลี่คลายลงหรือไม่
# ภาวะการซื้อขายยังถูกกดดันหลังจากที่นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแต่อย่างใด โดยดัชนีดาวโจนส์ดิ่งกว่า200 จุด ทันทีที่นายคุดโลว์ออกมาให้ข่าวดังกล่าว
# อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่นายคุดโลว์ออกมาโต้รายงานข่าวของบลูมเบิร์ก ปธน.ทรัมป์ก็ได้เผยว่าการพูดคุยกับผู้นำจีนนั้นมีความคืบหน้า และเขาคิดว่าสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงกับจีนได้ ซึ่งคำกล่าวของผู้นำสหรัฐได้ส่งผลให้ดัชนีหุ้นลดช่วงลบลงไปได้เป็นอย่างมาก
 
-/+ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร และค่าจ้างรายชั่วโมงออกมาร้อนแรง
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 250,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 และสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% นับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ และข้อมูลนี้ได้ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่า เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งความวิตกนี้ก็ได้สร้างแรงกดดันต่อภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์
 
-การขาดดุลการค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3% สู่ระดับ 5.40 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.36 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากแตะระดับ 5.33 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค.
 
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
ติดตามตัวเลขนักท่องเที่ยวจีน ต.ค.61 ที่มีข่าวปรับลงมาก แม้เข้าสู่ไฮซีซัน
หลังเกิดอุบัติเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนปรับลงมาตั้งแต่ ก.ค.61 และหวังว่าจะกลับมาดีขึ้นตั้งแต่ สู่ไฮซีซัน4Q61 คือ ตั้งแต่ ต.ค.61 แต่ปรากฏมีข่าวเบื้องต้นว่ายังปรับลดลงมากถึง 50% ต้องติดตามตัวเลขจริงที่จะออกมา
ดังนั้นหลักทรัพย์เดินทาง ท่องเที่ยว โรงแรม จะได้รับผลลบในระยะสั้น สำหรับ ERW จะกระทบมาก เพราะเน้นเฉพาะโรงแรมในไทย รวมทั้งหลักทรัพย์ที่พึ่งพิงการใช้สอยของนักท่องเที่ยวจีนมาก อาหาร เช่น TKN เครื่องสำอาง เช่น BEAUTY,DDD, RS เป็นต้น
 
+/• ติดตามการประมูล โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3
ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) รักษาการแทน ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.) เปิดเผยว่า กทท.ออกประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในวันนี้ และจะเปิดขายเอกสารประมูลได้ในวันที่ 5 พ.ย.61
กทท.กำหนดให้ยื่นข้อเสนอประมูลในวันที่ 14 ม.ค.62 จากนั้นจะใช้เวลาในการพิจารณาข้อเสนอและสรุปผลการพิจารณาช่วงปลายเดือน ก.พ. 62 คาดว่าจะตรวจสอบร่างสัญญาและสามารถลงนามได้ในเดือน มี.ค.62 หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรเมื่อวันที่ 30 ต.ค.61 ได้อนุมัติโครงการดังกล่าว
ผลกระทบ: คาดว่ากลุ่มหลักทรัพย์ผู้รับเหมาก่อสร้างจะได้ประโยชน์ เพราะมูลค่างานสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท และผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่จะได้รับประโยชน์ เพราะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับงาน ได้แก่ Top 4 ของอุตสาหกรรมคือITD, CK, STEC และ UNIQ
 
+ คต.ปลดล็อค! ผู้ค้าไทยใช้ Form E กระจายสินค้าส่งขายประเทศภาคี FTA อาเซียนจีน
 กรมการค้าต่างประเทศ ผลักดันการเจรจากับประเทศคู่ค้า ปลดล็อคระเบียบปฏิบัติภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ช่วยให้ผู้ค้าไทยสามารถนำเข้าสินค้าจากประเทศภาคี ACFTA มาทยอยส่งขายต่อให้กับลูกค้าในประเทศภาคีอื่น โดยใช้ Form E แบบ Movement Certificate เพื่อขอรับสิทธิพิเศษลด/ยกเว้นภาษีนำเข้าประเทศภาคีปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นการอำนวยความสะดวก ลดอุปสรรคทางการค้า และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาใช้สิทธิ ACFTA เพิ่มมากขึ้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!