- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 25 October 2018 20:06
- Hits: 10940
บล.บัวหลวง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ภาพตลาดและแนวโน้ม
การปรับฐานใกล้จบ เตรียมรับรุ่งอรุ่นใหม่
ตลาดหุ้นไทยที่ลงแรง จากแรงขายหุ้นพลังงานใหญ่ ตามราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลงแรง เมื่อวานนี้ จะจุดชนวนให้เกิดการ Force sell หุ้นอีกระลอก อาจต้องรอให้มีการล้างสถานะ Block trade, DW, Margin loan เหล่านี้สิ้นสุดลง ภายใน 1-2 วันนี้ ก่อน...ตลาดหุ้นไทยถึงจะฟืนตัวได้
ทั้งนี้การลงมาของดัชนีฯ บริเวณ 1,600 จุด Valuation yield gap ของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในโซน "ถูก" ที่น่าเข้าลงทุน ซึ่งผ่านมา 10 ปี โซน Yield gap 3.7% ตรงนี้ เคยหลุดไปแค่ 2-3 ครั้ง คือช่วงปี 2010-11, 2015
ซึ่งที่ผ่านมาแทบไม่เคยหลุด ยกเว้นจะมีเหตุการณ์พิเศษ เช่น เกิดการปฏิวัติ, น้ำท่วมใหญ่, วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
กลยุทธ์ คงแนะ จับพวงมาลัยไว้ให้แน่น แล้วประคองพอร์ตไปจนกว่าแรงขายฝรั่งจะจบลง (พ้นเดือน ต.ค.นี้ไป) อย่าเพิ่งด่วนขาย Short against port เพื่อมารับล่าง-สำหรับหุ้นที่เราแนะนำ ในพอร์ต
What to watch :
(+) Equity yield gap หุ้นไทย กลับลงมาบริเวณกรอบล่าง ชวนให้ซื้อหุ้น อีกครั้ง Equity yield ตลาดหุ้นไทย ล่าสุด ลงมาอยู่ที่ 3.7% หรือ -0.2SD ซึ่งเป็นบริเวณ Support zone valuation ที่น่าเข้าซื้อ อิงค่าเฉลี่ย Earnings yield gap ไทยที่ 4% ซึ่งที่ผ่านมาแทบไม่เคยหลุด ยกเว้นจะมีเหตุการณ์พิเศษ เช่น เกิดการปฏิวัติ, น้ำท่วมใหญ่, วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
(+) MS มองหุ้นสหรัฐฯจะปรับฐานลง 10% สำหรับรอบนี้ ซึ่งตอนนี้ S&P500 ได้ลงมา 10% แล้ว (จาก Peak 2940 เหลือ 2656 เมื่อคืน) : ทั้งนี้ MS ได้ย้ำเรื่อง Earnings peak ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เคยเตือนมาตั้งแต่ต้นปี และรอบนี้ Excuse ในการขายมาจาก ความเสี่ยงเศรษฐกิจ จากการกักตุนสต็อกสินค้าล่วงหน้า จากผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้า, ภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการขาดแคลนแรงงาน, ต้นทุนพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขาขึ้น, ต้นทุนดอกเบี้ยขึ้น และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวกดดันอุปสงค์
แต่ในส่วนของหุ้นไทย เรายังคงยืนยันมุมมอง ต่อการปรับฐานของตลาดหุ้นสหรัฐฯว่าจะมีผลกระทบต่อหุ้นไทยจำกัด และมีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นไทยจะ Decoupling ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะถัดไป
(+) ประชุม ECB วันนี้ คาดจะเพิ่มรายละเอียด มาตรการ Operation twist (หรืออย่างช้าการประชุมนัดสุดท้าย เดือน ธ.ค.) และนโยบายการเงินที่จะเอื้อให้เกิดการ Reinvest พันธบัตรระยะยาวในยุโรปเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซน
ทั้งนี้สอดคล้องกับสภาวะ Liquidity ในตลาดโลกที่หายไป จาก นโยบายการเงินที่เข้มงวดมานาน และเราเชื่อว่า เมื่อถึงที่สุด ธนาคารกลางสำคัญๆของโลก จะหันมาดำเนินนโยบาย เพื่อเอื้อให้เกิดการกลับมาเพิ่มขึ้นของ Liquidity อีกครั้ง
หุ้นแนะนำ
SCCC ดีมานต์ซีเมนต์ในประเทศ กลับมาแล้ว (ดูจากงบ SCC) บวกกับราคาขายที่เพิ่มขึ้น คาดหนุนกำไรปูนกลาง ดีกว่าคาด
รายงานวันนี้
SCC : Increasing uncertainty
บริษัทรายงานกำไร 3Q18 ที่ 9.5 พันล้านบาท ลดลง 20%YoY และ 24%QoQ (กำไรต่ำกว่าคาด 16%) เพราะการทำ asset impairments 1.67 พันล้านบาท โดยกำไรหลักอยู่ที่ 1.03 หมื่นล้านบาท ลดลง 3.4%YoY และ 14.6%QoQ (กำไรตามคาด) ธุรกิตซีเมนต์ในประเทศแข็งแกร่งขึ้น โดยอุปสงค์ในประเทศโต 7%YoY (โตครอบคลุมที่สุดในรอบ 5 ปี) และราคาซีเมนต์ขึ้น 3% สำหรับธุรกิจเคมีคอลกำไรลดลง 22% YoY เพราะต้นทุน Naptha ที่สูงขึ้น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ กำไรก้าวกระโดดถึง 128%YoY อย่างไรก็ดีผู้บริหารให้มุมมองหลังประกาศงบเมื่อวานนี้ ค่อนข้างระมัดระวังทั้งจากความตึงเครียดทางการค้า และดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และค่าเงินที่ผันผวน จากประเด้นดังกล่าว เรามีการปรับกำไรลง 8% และปรับราคาเป้าหมายเป็น 450 บาท แต่ด้วยเงินปันผลที่สูงราว 4% จึงมองว่ายังเหมาสมที่จะซื้อได้
DELTA : All about uncertainty
เราคาดกำไรหลัก 3Q18 ที่ 1.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% YoY และ 25% QoQ หนุนโดยอุปสงค์สินค้าที่แข็งแกร่ง, ปัจจัยด้านฤดูกาล และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับ US$ อย่างไรก็ตามบริษัทยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากทั้งปัญหาด้านการขาดแคลนวัตถุดิบ และ Section 301 ทำให้อุปสงค์ของสินค้ากลุ่มยานยนตร์อยู่บนความเสี่ยง อีกทั้งแผน USMCA ที่จะเพิ่มสัดส่วน Local content ของประเทศในกลุ่มจะหนุนให้ราคา EV ปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนที่สูงขึ้น และกระทบต่ออุปสงค์ อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องการทำ Tender offer ของทาง Delta Taiwan เราคาดอาจส่งผลต่อ DELTA ดังนี้ 1) อาจจะเสียผลประโยชน์จาก BOI, 2) อาจขัดต่อกฏเกณฑ์ กลต. และต้อง Delist ออกจากตลาด และ 3) คำสั่งซื้อจากไต้หวันอาจจะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำ อย่างไรก็ตามเรามองว่าหาก Delta Taiwan ยังต้องการประโยชน์ทางภาษีจาก BOI คำสั่งซื้อที่ส่งเข้ามาควรจะเป็นสินค้ากลุ่ม high-end ภาพรวมเรายังมองว่ายังมีความไม่แน่นอนหลายอย่างที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น เรายังคงคำแนะนำ ถือ
AU : 3Q18 profit to fall YoY from high base; growth resumes in 4Q18
เราคาดกำไรหลักที่ 37 ล้านบาทลดลง 11% YoY จากฐานที่สูงในปีที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 28% QoQ เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการปิดสาขา อย่างไรก็ตามเราคาดว่ากำไรใน 4Q18 จะกลับมาฟื้นตัวได้ดี เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากว่า 48% จากจุดสูงสุดสะท้อน Downside ต่อประมาณการของเราที่ 10-15% ไปแล้ว และภายใต้สมมติฐานที่แย่ที่สุด PER จะอยู่ที่ 41 เท่า 2SD ต่ำค่าเฉลี่ย เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 11 บาท
Utilities : Low season playbook
ในช่วง 2H18 เราคาดกำไรของกลุ่ม จะอ่อนตัวลงจากครึ่งปีแรก เพราะปัจจจัยฤดูกาล และมาร์จิ้นของ SPP น่าจะแคบลงเพราะ ค่า Ft ไม่ได้ปรับขณะที่ราคาแก๊สเพิ่มขึ้น ดังนั้นเรามองว่ากำไรของโรงไฟฟา IPP จะโดดเด่นกว่า ซึ่งเราชอบ GULF มากที่สุด
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
ธนัท พจน์เกษมสิน,นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
นภนต์ ใจแสน, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
OO15412