Stock          S          R      Comment

KBANK       201.00     219.00    ราคาหุ้นจะอ่อนตัวลงมาตามสภาวะตลาดฯ ทำให้ Upside เริ่มน่าสนใจ

NYT           5.00       5.50    Save Heaven ด้วยปันผลที่สูงเกือบ 6%

PRM           6.85       8.00    เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการฟื้นตัวและเติบโต

 

          What happened : มอง 3 สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงวานนี้ได้แก่

          1) Oil: ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงถึง 6% ในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมีวานนี้กดดันดัชนีไปถึง 17 จุด หรือครึ่งหนึ่งของดัชนีที่ปรับตัวลงมานั่นเอง

          2) Foreign: อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญได้แก่แรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นแรงขายสะสมที่ยกยอดมาจากวันก่อนหน้าที่ตลาดหุ้นไทยปิดทำการไปและตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับลง

          3) SSF: แรงขายหุ้นทางอ้อมที่เกิดจากการปิดสถานะของธุรกรรม Block trade โดยหากดูเมื่อวานนี้จะพบว่าพอร์ตบัญชีบริษัทหลักทรัพย์มีการขายสุทธิไปถึง 1,000 ล้านบาท และการขายสุทธิดังกล่าวสอดคล้องกับปริมาณสัญญาคงค้างของตราสาร Single Stock Futures (SSF) ที่เมื่อวานนี้ลดลงไปถึง 8 หมื่นสัญญา 

          Positive signs : อย่างไรก็ดี เราเริ่มพบสัญญาณบวกบ้างขึ้นแล้ว อาทิเช่น

          1) Bond yield 10 ปีของสหรัฐฯที่ลงมาใกล้ระดับสมดุลของเราที่ 3.0-3.1% แล้ว โดยล่าสุดอยู่ที่ 3.11% สะท้อนว่าการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติโดยการขายหุ้นและโยกเงินเข้าสู่พันธบัตรนั้นใกล้สิ้นสุด

          2) ราคาน้ำมันดิบที่เริ่มยืนได้ โดย Brent อยู่ที่ 75 เหรียญฯและ WTI อยู่ที่ 65 เหรียญตามลำดับ จะส่งผลให้แรงขายหุ้นในกลุ่มพลังงานเริ่มบรรเทาลง

          3) ประมาณการ EPS ของตลาดหุ้นไทยทั้งของปี 2018 และ 2019 เริ่มขยับขึ้นเล็กน้อยในช่วง     1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยล่าสุดอยู่ที่ 108.4 บาทและ 119.4 บาทตามลำดับ

          4) ปริมาณสถานะคงค้างในตราสาร Single Stock Futures (SSF) ที่ล่าสุดลงลงเมื่อวานนี้อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ปริมาณ Open interest ล่าสุดอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา สะท้อนว่าแรงขายปิดสถานะมีโอกาสชะลอลง

          Left Skewed:  อ้างอิงจาก Presentation กลยุทธ์การลงทุนประจำไตรมาส 4/61 ของเราที่เผยแพร่เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา เราเคยประเมินการแกว่งตัวของ SET Index จะเป็นลักษณะ Left-Skewed Distribution กล่าวคือมีความเสี่ยงด้านต่ำมากกว่าด้านสูง และประเมินว่าดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1500 - 1850 จุด โดยมี Probability ของการที่ดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1600 จุดหรือต่ำกว่าอยู่ที่ 17.5% (ดูรูป) แต่เรามองว่าโอกาสที่ดัชนีจะลงไปถึง 1500 จุดนั้นไม่ง่ายนัก และให้ความน่าจะเป็นเพียงแค่ 2.5% เท่านั้น

          Where is the worst and What are the odds? : ในทางกลับกัน มอง Worst case ที่พอเป็นไปได้อยู่ 2 กรณีดังต่อไปนี้

          1) กรณีที่ 1 (ถ้านักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นผู้ขายหุ้นสุทธิอยู่รายเดียว) เราใช้วิธีอ้างอิง Earning yield gap นับตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งเป็นปีแรกที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ (Conservative) พบว่าค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.35% (ดูรูป) ซึ่งหากเทียบกับ Bond yield 10 ปีของสหรัฐฯ 10 ปีปัจจุบันที่ 3.11% จะได้ว่าระดับ Earning yield ของดัชนีที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 7.46% หรือเท่ากับ Forward PE ที่ 13.4 เท่า เมื่อนำมาคูณกับประมาณการ EPS ปีหน้าที่ 119.4 บาท จะได้ระดับดัชนีที่เหมาะสมที่ 1600 จุด ซึ่งเราให้ความน่าจะเป็นสำหรับกรณีนี้อยู่ที่ 10%

          2) กรณีที่ 2 (หากนักลงทุนในประเทศมีการขายหุ้นอย่างมีนัยสำคัญออกมาด้วย) เราใช้วิธีอ้างอิงจากระดับค่าเฉลี่ย Forward PE ระยะยาวของ SET นับตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนวิกฤติ Lehman crisis พบว่าจะซื้อขายอยู่ที่ 13 เท่า (ดูรูป) ซึ่งหากเทียบเคียงกับประมาณการ EPS ปีหน้าที่ล่าสุดอยู่ที่ 119.4 บาท จะได้ระดับดัชนีที่เหมาะสมที่ 1550 จุด เราให้โอกาสกรณีนี้ที่ 5%

          กลยุทธ์การลงทุน :

          1) หากเทียบเคียงกับระดับ Worst case ที่เราคำนวณ ประเมินว่า ณ เวลานี้ไม่ใช่จังหวะเวลาของการขายหุ้นแล้ว

          2) ในแง่ของนักลงทุนทั่วไป เรามองว่า ณ ปัจจุบันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว รวมไปถึงผู้ที่ต้องการซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี (LTF/RMF) ต่างๆ

          3) ในแง่ของนักลงทุนสถาบัน เรามองว่าที่ระดับดัชนีแถว 1600 จุด ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเปิดขายกองทุนประเภท Trigger fund โดยสามารถคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนราว 5-10% (ดัชนี 1680-1760 จุด) ได้ในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า

 

          แนวรับ  1,612  แนวต้าน 1,641

 

Today's Event :

 

SVH  XD 6.00 บาท