- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 24 October 2018 18:10
- Hits: 4962
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“กังวลต่างประเทศ ส่งออกไทย ก.ย.พลิกลดลง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันจันทร์– SET Index ปิดตลาด -9.35 จุด ที่ 1658.56 จุด ถือว่าปรับลงมากกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าการซื้อขายปานกลางเป็น 40.7 พันล้านบาท แม้ได้รีบาวด์ระหว่างวัน แต่ดัชนีฯได้รับผลกระทบจากการประกาศตัวเลขส่งออก ก.ย. ลดลง 5.2% เป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือน และปัจจัยต่างประเทศที่เป็นลบยังค้างคาเช่นกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย ความขัดแย้งสหรัฐ-ซาอุ สหรัฐ-จีน ปัญหางบประมาณอิตาลี บาทอ่อน เงินไหลออก หุ้นกลุ่มหลักปรับตัวลง ยกเว้น KBANK ปรับขึ้นดี หุ้นเพิ่งเข้ามาซื้อขาย OSP และ SONIC ต่ำจอง ด้านผู้ขายสุทธิเป็น พอร์ตโบรกเกอร์ 0.8 พันล้านบาท ต่างประเทศ 0.1 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 0.6 พันล้านบาทและนักลงทุนทั่วไป 0.3 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้น SET คาดว่าจะได้รับปัจจัยลบจากต่างประเทศคือ ดาวโจนส์ลดลง ราคาน้ำมันดิ่งลงถึง 4% กังวลเศรษฐกิจจีนบอนด์ยิลด์ 10 ปีและดัชนีความกลัว (VIX) เพิ่ม ส่วนปัจจัยลบเดิมๆยังค้างคา เช่น ต่างชาติขายหนัก เฟดขึ้นดอกเบี้ย ความขัดแย้งสหรัฐ-ซาอุ สหรัฐ-จีน ปัญหางบประมาณอิตาลี ส่วนตัวเลขส่งออกไทย ก.ย.พลิกลดลง 5.2% ก็ยังสร้างความวิตกเพิ่มขึ้น ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้บางตลาดรีบาวด์ สำหรับดาวโจนส์ล่วงหน้า -18 จุด ณ 8:18 น. น้ำมันล่วงหน้าลดลงอีก หลังประกาศงบแบงค์ จะเริ่มกลุ่มอุตสาหกรรม ตัวใหญ่คือ SCC ประกาศงบ ส่วนมาตรการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัย Hearing ผ่านไปแล้ว ติดตาม ธปท.จะผ่อนคลายบ้างไหม ข้อดีคือ จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็ป แม้ปัญหา Emerging Market (EM) ยังไม่จบ แต่เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง บัญชีเดินสะพัดเกินดุล สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วง ธ.ค.) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป และกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดีเมื่อราคาหุ้นปรับลงตามดัชนีฯ และเลือกหุ้นที่มีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1640-1670 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาว 1 ปี ให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% ดังนั้นดัชนีฯปรับลง แนะนำให้ทยอยสะสมเพื่อการลงทุนระยะยาวได้
Update หุ้นเด่น: HMPRO– คาดว่ากำไรในงวด 3Q61 จะเติบโตได้เป็นตัวเลขสองหลัก แม้ว่าอัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (SSSG) จะไม่ถึงกับน่าตื่นเต้นคือ ทรงตัว y-o-y เพราะฐานปีที่แล้วสูง แต่แรงผลักดันคือ สาขาเพิ่มขึ้น เน้นจำหน่ายสินค้าแบรนด์ตนเอง เพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น และดอกเบี้ยจ่ายลด จากการทำรีไฟแนนซ์ จะมีการเพิ่มจำนวนสาขาในรูปแบบ HomePro S จำนวน 4 แห่งในงวด 4Q61 บริษัทจะไม่เน้นเปิดสาขามากๆ แต่เน้นความสามารถการทำกำไรมากกว่า คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐาน 17.50 บาท
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นลบ ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆ ก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1670-1675/1690 แนวรับ 1650-1640
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ SOLAR,HMPRO หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ RCI หุ้นที่หลุด List คือ KTC,RML,HANA,TRUE หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ ไม่มี
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลง วิตกผลประกอบการ ราคาน้ำมันร่วงและตลาดหุ้นจีนดิ่ง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,191.43 จุด ร่วงลง 125.98 จุด หรือ -0.50% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,740.69 จุด ลดลง 15.19 จุด หรือ -0.55% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,437.54 จุด ลดลง 31.09 จุด หรือ -0.42%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัท แคทเธอร์พิลลาร์ และ 3M นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบและตลาดหุ้นจีน รวมทั้งความกังวลจากรายงานที่ว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้ปฏิเสธร่างงบประมาณประจำปีหน้าของอิตาลี
- ตลาดน้ำมัน : นํ้ามัน WTI ปรับลงแรง หลังซาอุฯส่งสัญญาณเพิ่มการผลิต และวิตกตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่ง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 2.93 ดอลลาร์ หรือ 4.2% ปิดที่ 66.43 อลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค.ปีนี้
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 3.39 ดอลลาร์ หรือเกือบ 4.3% ปิดที่ 76.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนส.ค.ปีนี้
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) หลังจากที่ซาอุดีอาระเบียยืนยันว่าจะรักษาเสถียรภาพตลาดน้ำมัน ซึ่งรวมถึงการเพิ่มการผลิต นอกจากนี้ การร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นทั่วโลกยังสร้างแรงกดดันต่อภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันด้วยเช่นกัน
• ทองคำ : ปรับขึ้นดี เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย หลังตลาดหุ้นโลกดิ่ง
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 12.2 ดอลลาร์ หรือ 1% ปิดที่ 1,236.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.ปีนี้
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 12 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างหนัก นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ยังเพิ่มความน่าดึงดูดให้กับทองคำเช่นกัน
- ตลาดหุ้นจีนดิ่ง นักลงทุนกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจจีน
# ตลาดหุ้นจีนดิ่งลงกว่า 2% เมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีน แม้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนได้พยายามกอบกู้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหลังจากที่จีนได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
-มีความกังวลสถานการณ์เศรษฐกิจในอิตาลี
# ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในอิตาลี หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ประกาศว่า อิตาลีจะต้องทำการทบทวนข้อเสนอร่างงบประมาณประจำปีหน้า โดยนายไดอาลอกวัลดิส ดอมโบรสกีส์ รองประธาน EC กล่าวว่า EC ไม่มีทางเลือก นอกจากปฏิเสธข้อเสนองบประมาณของรัฐบาลอิตาลี และอิตาลีมีเวลา 3 สัปดาห์ในการยื่นข้อเสนองบประมาณฉบับใหม่ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ EC ได้ปฏิเสธการยอมรับร่างงบประมาณของประเทศสมาชิก EU
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
-/• ผิดหวังตัวเลขส่งออก ก.ย.61 เป็น -5.2% แต่ ก.พาณิชย์คงเป้าปีนี้โต 8%
# เดือนกันยายน การส่งออกมีมูลค่า 20,699 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดลบ 5.2% เมื่อเทียบจากระยะเดียวกันของปีก่อน ถือ เป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 19 เดือน และต่ำกว่าที่ตลาดคาดคือ เติบโต 5.4-5.6% ส่วนการส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่า 189,729 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 8.13% ถือเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 ปี
# โดยการส่งออกเดือนกันยายนที่ลดลงเกิดจาก 3 ปัจจัยหลักได้แก่ ฐานการส่งออกสินค้าที่สูงในเดือนกันยายนของปีก่อนโดยเฉพาะสินค้าประเภททองคำ //ผลกระทบจากสงครามการค้า ทำให้การส่งออกภาพรวมติดลบ 1.8% โดยเฉพาะตลาดจีนติดลบ 14.1% // และปัญหาเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ทำให้การนำเข้าสินค้าลดลง
# อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่า การส่งออกปีนี้ยังขยายตัวได้ที่ระดับ 8% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้มีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เนื่องจากการส่งออกสินค้าของไทยมีความหลากหลาย และมีการผลักดันการส่งออกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเร่งส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพ เพื่อทดแทนสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่
# ส่วนข้อดีคือ ดุลการค้าเดือนกันยายน มีการเกินดุล 487 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในช่วง 9 เดือน ของปีนี้มีการเกินดุล 2,839 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
-/+ ตลาดส่งออกที่ลดลง คือ ออสเตรเลีย จีน ไต้หวัน และฮ่องกง แต่ตลาด CLMV ยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐ ยังเพิ่ม
# สินค้าที่ส่งออกไปจีนลดลงคือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และยางพารา จึงอาจทำให้หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจประเภทนี้ปรับตัวลงได้ วันศุกร์ หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวลงแรงคือ HANA และ SVI ส่วน STA อยู่ในเกณฑ์ทรงตัว
# ด้านการส่งออกสินค้าในกลุ่มยานยนต์และส่วนประกอบ ก็ปรับตัวลดลงด้วย โดยเฉพาะรถยนต์นั่ง ในการส่งออกไปออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ ด้านรถกระบะที่ส่งออกไปออสเตรเลีย รวมทั้งชิ้นส่วนประกอบที่ส่งออกไปยังจีน ก็ปรับตัวลดลง เช่นเดียวกัน
# แต่การส่งออกไปตลาดหลัก ยังเติบโตได้คือ CLMV ยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐ ยังเพิ่ม สินค้าส่งออก เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ รถยนต์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป และเม็ดพลาสติก เป็นต้น
-/• หลังการทำ Hearing เกณฑ์สินเชื่อเของ ธปท.เสร็จ แต่ยังกังวล และ SCC ประกาศงบ 3Q61
# สัปดาห์ที่แล้วได้สิ้นสุดการรับฟังความเห็น (Hearing) เกี่ยวกับเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มที่อยู่อาศัย (LTV) ตลาดฯ และผู้ประกอบการต่างติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะผ่อนเกณฑ์บางอย่างหรือไม่ เช่น ครอบคลุมถึงบ้านหลังที่สาม เพิ่มขึ้นจากหลังที่สอง และผ่อนระยะเวลาการเริ่มใช้จาก 1 ม.ค.62 ให้เลื่อนออกไป เพื่อมีเวลาในการเตรียมตัวเพิ่มมากขึ้น หากมี ก็อาจจะส่งผลดีต่อหลักทรัพย์กลุ่มที่อยู่อาศัย แต่วันจันทร์หุ้นที่อยู่อาศัยยังปรับลงมาก อาจเป็นเพราะกังวลว่า ธปท.จะยังคงเกณฑ์เข้มงวดต่อไป
# คาดว่า SCC จะประกาศงบการเงินวันนี้หรือ 24 ต.ค.61 และพลอยจะทำให้ทราบแนวโน้มธุรกิจ ที่ SCC ไปลงทุนด้วย เช่น กระดาษ เยื่อกระดาษ และธุรกิจเชิงพาณิชย์ (Commerce) เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO15360