- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 22 October 2018 20:15
- Hits: 5049
บล.ฟินันเซียไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Stay in Domestic and Defensive Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงทดสอบระดับ 1,665 จุดตามคาดจากบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเป็นลบ โดยยังคงมีแรงขายออกมาในหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวนำโดยนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 13 ติดต่อกันและเร่งตัวขึ้นเป็น 6.2 พันลบ. (และ Short ใน Index Futures สูงถึงกว่า 1 หมื่นสัญญา) ขณะที่สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.5 พันลบ.
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index ยังคงถูกกดดันจากบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเป็นลบและยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ รวมถึงยังถูกกดดันจากกระแสเงินทุนที่อยู่ในทิศทางไหลออก โดยประเด็นงบประมาณของอิตาลีล่าสุด EU ได้ส่งจดหมายให้อิตาลีชี้แจงประเด็นการงบประมาณขาดดุลและภาระหนี้ที่ไม่ได้ลดลงตามกฎของ EU ภายในวันนี้ ขณะที่ฝั่งบ้านเราต้องจับตาดูการประกาศผลประกอบการ 3Q18 ของฝั่ง Real Sector ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า เรายังมองว่าหุ้นในกลุ่ม Domestic และ Defensive Play จะยังเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาด
กลยุทธ์ : ยังเน้นลงทุนในหุ้น Domestic และ Defensive
หุ้นเด่นเดือนต.ค. : BDMS, CPALL, CPN, MINT, PTTGC
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$522ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากไทย US$190ล้าน และเกาหลีใต้ US$183ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคจากความกังวลอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและซาอุฯ
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> SAT <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 24.10 บาท
คาดกำไรปกติ 3Q18 ที่ 221 ลบ. +21% Q-Q ตามฤดูกาล แต่ทรงตัว Y-Y จากค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูง ก่อนจะไปกระชากแรงอีกครั้งใน 4Q18 เพราะชิ้นส่วนเครื่องจักรการเกษตรกลับมาเพิ่มขึ้น และมีการส่งมอบชิ้นส่วนให้กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ Tier 1 ในสหรัฐฯ
รายได้ส่วนใหญ่มาจากการผลิตชิ้นส่วนให้รถกระบะ ซึ่งยอดขายมักเร่งตัวขึ้นในช่วงก่อนเลือกตั้ง
PE2018-2019 ต่ำเพียง 9-10 เท่า ค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ 12 เท่า
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) KBANK ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 248 บาท แม้คาดแนวโน้มกำไร 4Q18 จะต่ำสุดในปี แต่กำไรทั้งปีนี้น่าจะยังเห็นการเติบโตราว 15% Y-Y และในปีหน้าคาดว่าจะมี upside จาก Credit cost ที่ลดลงเนื่องจาก Coverage ratio อยู่ในระดับที่น่าพอใจกับการบริหารที่มากกว่า 150% รวมถึงการเติบโตของสินเชื่อที่น่าจะขยับช่วงขึ้นจากปีนี้ที่ให้ไว้ 5-7% และ NIM ที่น่าจะเป็นบวกกว่าปี 2018 ตามสมมติฐานของศูนย์วิจัยฯที่คาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีหน้า คงคำแนะนำซื้อ โดยธนาคารจะเปิดเผยเป้าหมายทางการเงินสัปดาห์หน้า
(0) KTB กำไรสุทธิ 3Q18 อยู่ที่ 7,838 ลบ. +1.6% Q-Q, +33.5% Y-Y ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ PPOP ลดลง 5.3% Q-Q, 6.3% Y-Y จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ -8.5% Q-Q และ -10% Y-Y และรายได้จากเงินลงทุน รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจประกันลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้หลักที่อ่อนแอถูกชดเชยด้วยค่าใช้จ่ายสำรองฯที่ลดลง 10% Q-Q, 39% Y-Y คิดเป็น Credit cost ที่ 1.23% กำไร 9M18 อยู่ที่ 2.23 หมื่นลบ. +27% Y-Y คิดเป็น 76% ของประมาณการกำไรทั้งปี นี้ที่ 2.95 หมื่นลบ. +31% Y-Y และคาดการณ์กำไรปีหน้าที่ 3.37 หมื่นลบ. +14% Y-Y จากการเติบโตของสินเชื่อคาด +8% Y-Y และ NIM ที่เพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ปรับมาใช้ราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 22 บาท คงคำแนะนำซื้อ
(0) KKP กำไรสุทธิ 3Q18 ที่ 1,551 ลบ. ทรงตัว Q-Q แต่ลดลง 10% Y-Y ใกล้เคียงกับที่เราคาด สังเกตว่าค่าใช้จ่ายสำรองฯในไตรมาสนี้ลดลง 94% Q-Q, 60% Y-Y คิดเป็น Credit cost เพียง 0.06% เนื่องจากมีการโอนกลับขาดทุนของเงินลงทุนสิทธิเรียกร้องซึ่งสิ้นสุดคดีแล้วราว 278 ลบ. หากไม่นับรายการดังกล่าว PPOP น้อยกว่าที่คาด จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง และค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จากผลขาดทุนของการปรับมูลค่าทรัพย์สิน NPA ที่ราว 230 ลบ. กำไรสุทธิ 9M18 อยู่ที่ 4.6 พันลบ. +4%Y-Y คิดเป็น 74.6% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปีที่ 6.17 พันลบ. +7.6% Y-Y แนวโน้ม 4Q18 มีแนวโน้มเติบโตดีจากธุรกิจ IB ซึ่งมีการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ทั้ง TFFIF, OSP และ รพ.พระราม 9 ปรับมาใช้ราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 81 บาท อิง PBV 1.5 เท่า คงคำแนะนำซื้อ
(+) CK คาดกำไรปกติ 3Q18 เร่งขึ้น 19% Q-Q และ 3% Y-Y เป็น 646 ลบ. จากส่วนแบ่งกำไรของ BEM และ CKP ที่ขยายตัวเด่นตามฤดูกาล ขณะที่รายได้ก่อสร้างคาด +3% Q-Q และคาดสามารถรักษามาร์จิ้นทรงตัวได้ที่ 7.9% เราเชื่อว่า CK จะได้รับงานเข้ามาเติมอย่างน้อย 2.4 หมื่นลบ. จากการเข้าร่วมประมูลงานภาครัฐที่จะเกิดใน 4Q18-1Q19 ขณะที่ราคาหุ้นใน 3 เดือนที่ผ่านมาปรับขึ้นเพียง 3% Laggard ทั้ง STEC ที่ +22% และ UNIQ ที่ +9% รวมถึง Discount NAV ของบริษัทลูกถึง 35% จึงคงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 34 บาท พร้อมแนะจับตาการยื่นซองประมูลรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในวันที่ 12 พ.ย.นี้
(0) TPCH คาดกำไรปกติ 3Q18 ที่ 85 ลบ. -5.7% Q-Q จาก 2 โรงไฟฟ้าที่หยุดซ่อมบำรุง แต่ยัง +27.7% Y-Y และกำไรสุทธิโตถึง +225.1% Y-Y เพราะกำไรดำเนินงานดีขึ้น จากการเดินเครื่อง 6 โรงไฟฟ้า และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษตั้งสำรองเหมือน 3Q17 หากคาดของเราเป็นจริง จะทำให้กำไรปกติ 9M18 +34.5% Y-Y และเป็นสัดส่วน 72% ของคาดทั้งปีที่คาด 359 ลบ. +33% แม้ภาครัฐชะลอการรับซื้อไฟพลังงานทดแทน แต่คาดกำไรปี 2018-2020 โตเฉลี่ย 24.8% ต่อปี ขณะที่ PE2018 อยู่ที่ 11.5 เท่า และจะลดเหลือ 8 เท่า ในปี 2020 จึงคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
24 ต.ค.- สหรัฐฯ: ยอดขายบ้านใหม่ (ก.ย. 18), Fed Beige book
- ยูโรโซน: Flash PMI ภาคการผลิต (ต.ค.)
25 ต.ค. - ยูโรโซน: ประชุม ECB
- เกาหลีใต้: 3Q18 GDP
26 ต.ค.- สหรัฐฯ: 3Q18 GDP
(+) ตลาดหุ้นดาวโจนส์สหรัฐปรับตัวขึ้น จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด
(-) ตลาดหุ้นยุโรปยังคงปรับตัวลง จากความกังวลในเรื่อง Brexit และปัญหาหนี้ของอิตาลี
(-) ตลาดเอเชียเช้านี้ปรับลง จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจของจีน แม้ทางการจะออกมาย้ำถึงมาตราการช่วยเหลือที่จะมากขึ้นในอนาคต
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 32.59 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. เมื่อวันศุกร์ปรับเพิ่มขึ้น 0.72 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 69.37 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดว่าซาอุฯ อาจอยู่เบื้องหลังการตายของนักข่าวที่หายตัวไป ซึ่งอาจนำไปสู่มาตราการคว่ำบาตรประเทศผู้นำ OPEC ในอนาคต
(+) ค่าการกลั่นสิงคโปร์ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 5.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
() ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. เมื่อวันศุกร์ปรับลดลง 0.10 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1230 ดอลลาร์/ออนซ์
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO15280