CNS Daily Strategy: คาดตลาด “Rebound” ต้าน 1705/1711จุด รับ 1687/1680จุด ประธาน FED สาขาเซนต์หลุยส์ แถลง FED ยังไม่ควรเร่งขึ้นดอกเบี้ย สะท้อนทิศทางดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป ผสานแรงกดดันจากค่าเงินดอลล่าร์ผ่อนคลายลง หนุนค่าเงินเอเชียเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น เพิ่ม Sentiment บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงเอเชีย ส่วนไทยได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากมาตรการภาครัฐฯที่ต่อเนื่อง หลังกระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอโครงการลงทุน 20 โครงการ 1 ล้านล้านบาท เข้าครม. ม.ค. 2019 ก่อนการเลือกตั้ง ตอกย้ำพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแรง วันนี้แนะนำ Theme “Domestic Play” : TMB, STEC, AMATA

 

 

(-) Ex Factor: IMF ปรับลดคาดการณ์ Global Growth ปี 2018-19 ลง 0.2% สู่ 3.7%

(+) US: ประธาน FED สาขาเซนต์หลุยส์ (มีสิทธิโหวตปีหน้า) เผยFEDไม่ควรเร่งขึ้นดอกเบี้ย

(+) OIL: เหตุระเบิดโรงกลั่นน้ำมันที่แคนาดา กำลังการผลิตรวม 320,000 บาร์เรล/วัน

(-) OIL: ราคาน้ำมันดิบวานนี้ WTI -0.07% สู่ $74.29 /bbl / BRT -0.30% สู่ $83.91 /bbl

(+) TH: กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอ 20 โครงการ 1 ล้านล้านบาท เข้าครม. ม.ค. 2019

(-) Fund Flow:ล่าสุดขายหุ้น-2,367ลบ., Short Future-5,752สัญญา, ขายBond-3,243ลบ.

 

Equity Daily Outlook : คาดดัชนีวันนี้ “Rebound” ต้าน 1705/1711จุด รับ 1687/1680จุด จิตวิทยาการลงทุนโลกได้รับแรงกดดันจากการรายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกของ IMF ที่ทำการปรับลดคาดการณ์ Global Growth ปี 2018-19 ลงราว 0.2% สู่ระดับ 3.7% จากความกังวลต่อความเสี่ยงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับประเทศคู่ค้า แต่อย่างไรก็ดี ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีแรงหนุนบวกจากถ้อยแถลงของนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธาน FED สาขาเซนต์หลุยส์ (มีสิทธิโหวตปีหน้า) ที่เผยว่า FED ยังไม่ควรเร่งขึ้นดอกเบี้ย สะท้อนทิศทางดอกเบี้ยยังค่อยเป็นค่อยไป ผสานแรงกดดันจากค่าเงินดอลล่าร์ผ่อนคลายลง ทำให้เริ่มเห็นทิศทางค่าเงินเอเชียเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น เพิ่ม Sentiment บวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงเอเชีย นอกจากนี้ ทิศทางน้ำมันดิบ มีแรงหนุนเชิงบวกจากเหตุระเบิดโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของแคนาดา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญที่ส่งน้ำมันไปยังสหรัฐฯ มีกำลังการผลิตรวม 320,000 บาร์เรล/วัน บ่งชี้ Supply จำกัดช่วงสั้น คาดหนุนราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้นได้ น่าจะมีแรงเก็งกำไรในกลุ่มพลังงานนำตลาดได้ ส่วนปัจจัยในประเทศ กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอโครงการลงทุน 20 โครงการ ทั้งรถไฟฟ้า และสนามบิน มูลรวมกว่า 1 ล้านล้านบาท เข้าครม.ภายใน ม.ค. 2019 ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่ต่อเนื่องนี้ ตอกย้ำพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแรง หนุนตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นได้

 

Daily Strategy : ถือหุ้น 75% Sector Rotation เน้นสะสม Domestic Play BBL, KBANK, TMB, CPALL, ROBINS, ADVANC, CK, STEC, PYLON, AMATA, GOLD, SC, ERW, BH, และ Global Play (PTT, PTTEP) วันนี้เน้น “Theme “Domestic Play”

 

ราคาน้ำมันดิบ BRENT ฟื้น 84+/- เหรียญฯต่อบาร์เรล รับโรงกลั่นแคนาดาไฟใหม้ หนุน PTT, PTTEP เด่น

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคต(TFFIF) กำลังจะเปิดขาย IPO 12-19 ตค ผสาน TOR 4 โครงการเร่งด่วน (มาบตาพุดเฟส 3, แหลมฉบังเฟส 3, สนามบินอู่ตะเภา, ศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา) เข้า ครม 16 ตค หนุนอิงการลงทุนฟื้นรอบใหม่ STEC, AMATA, WHA, CK, TOA, PYLON

หุ้นเก็งเข้า MSCI รอบเดือน พย 2018 GULF, TOA

กระทรวงการท่องเที่ยวอนุมัติมาตรการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจีนชั่วคราว “Double entry visa” และการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มเติมในวันที่ 18 ต.ค. บวก AOT, ERW  

กลุ่ม รฟฟ เด่นการเติบโต เน้น GULF BGRIM PSTC BWG

Road to Election 2019 : PTT, PTTEP,  BBL, KBANK, TMB,  CPALL, ROBINS, ADVANC,  STEC, AMATA, SC, GOLD, PLANB

2H18 Theme Domestic : Election play when oil surge

 

Best Picks 2H18 : PTT, IVL, BBL, KBANK, CPALL, CK, STEC, SEAFCO, PYLON, AMATA, GOLD

1. Index Driver : PTT, BBL, KBANK, CPALL, PTTEP, IVL

2. Government Spending : STEC, CK, PYLON, SEAFCO, AMATA, ROJNA, SCC

3. Property : GOLD, SC

4. Tourism & Transport : ERW, BTS

5. Global Play : IVL, PTL

6. ICT : ADVANC

 

 

TMB (TP19F 2.5*): Support 2.24/2.20 Resistant 2.44/2.50

 

Earnings Outlook: เราคาดกำไรสุทธิผ่านจุดต่ำสุดแล้ว โดย 3Q18F คาดทยอยฟื้นตัวอยู่ที่ 2.15 พันลบ. (+2% y-y, +6% q-q) จากสินเชื่อฟื้นตัว, สำรองทรงตัว และคาดกำไร 4Q18F ยังเป็นภาพเติบโต y-y, q-q และต่อเนื่องใน 2019F ที่ +11% y-y นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยี จึงพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิตัลของกลุ่มธนาคาร

Valuation: ราคาหุ้น Laggard กลุ่ม Bank โดย YTD -23% VS กลุ่ม -4.6% ตอบรับการลดประมาณการของตลาดก่อนหน้านี้ไปแล้ว และยัง Under-owned อยู่มาก โดยราคาปัจจุบันเป็นโซนซื้อที่ได้เปรียบ PER19F 11 เท่า และ PBV19F เพียง 1.0 เท่า โดยหลังปี 2010 เป็นต้นมา PBV Zone 1.0-1.1เท่า คือจุดซื้อในเชิงพื้นฐานที่ดีที่สุดของ TMB เกิดขึ้น 4 ครั้งในช่วง 8 ปีหลัง และมักให้ผลตอบแทนที่ดีจากการซื้อหุ้นที่ Zone นี้

Catalyst: มาตรการควบคุมอสังหาฯมีผลกระทบจำกัด ยอดสินเชื่อเดือนส.ค.18 เติบโตในอัตราเร่งที่สุดในปีนี้ +1.5%m-m + สถิติกลุ่ม Bank มัก Outperform ก่อนเลือกตั้ง 6-9 เดือน + ดอกเบี้ยช่วงถัดไปจะกลับทิศสู่ขาขึ้นบวกต่อ Bank

STEC (TP19F 32*):  Support 23.3/22.9 Resistant 24.5/25.25

 

Earnings Outlook: คาด 2H18F จะเด่นกว่า 1H18 มาก เติบโตสูงต่อเนื่องทั้ง y-y และ h-h ตามรายได้ก่อสร้างที่เร่งขึ้นจากงานรถไฟฟ้าสายสีส้ม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และเหลืองที่ส่งมอบพื้นที่และเริ่มเร่งก่อสร้าง และเป็นงาน Margin ดี นอกจากนี้มี Backlog secure รายได้ถึง 2020F

Valuation: ยัง under own โดยซื้อขายเพียง P/BV19F 2.8x ยังเหมาะสมจากความสามารถในการทำกำไรสูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง upside เปิดกว้าง 34% และมี Hidden value จากการถือ GULF 40 ล้านหุ้น@ทุน 45 บาท/หุ้น

Catalyst: ภาพระยะกลางยาว ได้ประโยชน์จากการลงทุนรอบใหญ่โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานของประเทศและEEC สอดรับกับภาพระยะสั้นคาดรัฐจะเร่งงานประมูลออกมาก่อนเลือกตั้ง (รถไฟ High speed เชื่อม 3 สนามบิน, รถไฟฟ้าสีส้ม, รถไฟทางคู่, มาบตาพุดเฟส 3 ฯลฯ) + คาดไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์เปิดขายปลาย ต.ค.18 นี้ หนุน Sentiment กลุ่มอิงการลงทุน

AMATA (CONSENSUS TP 26.78):  Support 23.5/23.0 Resistant 24.6/25.25

Earnings Outlook: พรบ. EEC ที่มีผลแล้ว จะเริ่มขับเคลื่อนปริมาณขายที่ดิน พร้อมๆกับ Recurring income คาดผลประกอบการ 2H18F ฟื้นตัว h-h จากรายได้การขายที่ดินเพิ่มขึ้น และคาดกำไร 2019F +34% 

Valuation: ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER19F 14.2x และ PBV19F 1.45x มองเป็นจุดเริ่มทยอยสะสมรอบใหม่ได้ และคาดหุ้นจะกลับมาน่าสนใจเต็มที่อีกครั้งใน 2H19F

Catalyst: EEC จะเป็นนโยบายสำคัญ ผลักดันไทยไปสู่ valued-driven economy ซึ่งระยะสั้นคาดจะมีโครงการเกิดขึ้นก่อนเลือกตั้งราว 5 โครงการ (High speed เชื่อม 3 สนามบิน พ.ย. นี้, มาบตาพุดเฟส3, แหลมฉบังเฟส 3, สนามบินอู่ตะเภา, ศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา) ลุ้นเข้าครม. 16 ต.ค.นี้ + หากสงครามการค้ายืดเยื้อจะเอื้อต่อโอกาสย้ายฐานผลิตจากจีนมาไทย

Note: TP (Bloomberg Consensus) , *TP(CNS), **TP(Nomura)