วันนี้คาด หุ้นไทยจะลงน้อยกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค  

          ระยะสัปดาห์ ท่ามกลาง ความผันผวนที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลกจากความเสี่ยง การทะยานขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ บวกกับ ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแรง ทำให้นักเศรษฐศาสตร์เริ่มกังวลถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และ การรายงานงบตัวแรกของกลุ่มรีเทลไฟแนนซ์อย่าง AEONTS ที่เติบโตน้อยกว่าที่ตลาดคาด...

          เรามองว่าหุ้นไทยที่ตกลงมาในรอบนี้ ยังเป็นโอกาสในการเลือกซื้อหุ้นเหมือนเดิม เพราะด้วยปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย ดังที่กล่าวมาในข้างต้นนั้นมีข้อโต้แย้งได้ทั้งหมด (ดูรายละเอียดด้านในฉบับ)  

          ส่วนกรอบตลาดสัปดาห์นี้คาด Consolidated 1,700-1,730 จุด             

 

          (-) สหรัฐฯส่งสัญญาณกดดัน EU และญี่ปุ่น ไม่ให้ทำข้อตกลงทางการค้ากับจีน: โดย รมต.ก.พาณิชย์สหรัฐ ให้สัมภาษณ์ ผ่านสื่อ ว่าในการทำข้อตกลงการค้าในอนาคตกับประเทศต่างๆ สหรัฐฯอาจกำหนดเงื่อนไขในการห้ามไม่ให้ประเทศคู่ค้าทำข้อตกลงทางการค้ากับจีน 

          (-) MS ออกรายงาน คาดผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบ ที่อาจเพิ่มมากขึ้นจากนี้ไปอีก จะเริ่มกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ที่เศรษฐกิจอิงกับการบริโภคน้ำมัน ส่วนมาเลเซีย และอินโดนีเซีย จะไปประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยทุก US$10 ที่น้ำมันดิบเพิ่มขึ้น จะบวกต่อรายได้ราว 0.5% ของ GDP มาเลเซีย ส่วนไทย จะกระทบต่อ C/A คิดเป็น % ของ GDP ราว -0.4%

          (+/-) กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะออกรายงานรอบครึ่งปีว่าด้วยการบิดเบือนค่าเงิน ในวันที่ 15 ต.ค.นี้ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่ ค่าเงินหยวนของจีน ที่อ่อนค่าลงอย่างมีนัยยะ นับตั้งแต่สหรัฐฯออกมาตรการกีดกันการค้ากับจีน / คาดค่าเงินในภูมิภาคมีแนวโน้มอ่อนค่า ช่วงนี้ และ MS มองว่ามึความเป็นไปได้ที่จีน จะปล่อยให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงไปถึง 10% เพื่อแก้ลำมาตรการกีดกันการค้าสหรัฐฯ  

          (+) รายงาน MS "EM equity fund flows by country": เงินไหลเข้า ตลาดหุ้นไทย แอฟริกาใต้ และ ตุรกี มากสุดในสัปาดห์ที่ผ่านมา 

          (+) MS คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ตกลงรอบนี้ ตามทิศทาง Bond yield สหรัฐที่พุ่งขึ้น และกดดันตลาดเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นการเริ่มต้นขาลงของตลาดหุ้นรอบใหม่

 

          KCE  ดอลล์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นช่วงนี้ คาดส่งผลต่อ Sentiment บวกราคาหุ้น (ราคาทองแดงซึ่งเป็นต้นทุน ขยับลง และ ค่าเงินบาท อ่อนค่า ผกผันตรงข้ามค่าเงินดอลล์สหรัฐฯที่แข็งค่า) 

 

          การวางสัดส่วนรายได้ให้ Balance ระหว่างสินค้า Apple และ Non-Apple อีกทั้งกลยุทธ์การขาย ส่งผลให้บริษัทเติบโตได้ดีกว่าตลาดสินค้า IT และ Smartphone เรามองว่าในช่วงที่ราคาหุ้นพักฐานจากการที่ตลาดมีความกังวลถึงการเปิดของ Apple Store เป็นโอกาสในการ "ซื้อ" เพราะเรามองว่าไม่ได้น่าวิตกเหมือนที่ตลาดมีความกังวล  ปัจจุบันหุ้นเทรด PE 32 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีก ในขณะที่การเติบโตทำได้ 33% ดีกว่ากลุ่มที่คาดราว 19% ราคาเป้าหมาย 27 บาท

 

          การสะดุดของตัวเลขนักท่องเที่ยวใน 3Q18 ได้สะท้อนในราคาหุ้นแล้ว, ในมุมมองของเรา ซึ่งเราแนะให้นักลงทุนเริ่มกลับมาสะสมหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เพราะทั้ง 4 บริษัทที่เรา cover (AOT CENTEL ERW MINT) ราคาหุ้นปรัลตัวลงจน valuation น่าสนใจและเราคาดกำไร 4Q18 จะกลับมาเติบโตโดดเด่นที่สุด นอกจากนี้เราคาดจะเห้นรัฐฯออกมาตรการการตุ้นการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สำคัญ ในกลุ่มเราชอบ AOT และ CENTEL มากที่สุด (เราทำ earnings preview ของหุ้น 4 ตัว ในกลุ่ม ในรายงานฉบับเต็ม)

 

          เราคาดกำไร 3Q18 ที่ 950 ล้านบาท ลดลง 45% YoY แต่เพิ่มขึ้น 9,759% QoQ ขณะที่กำไรหลักคาดที่ 1.43 พันล้านบาท, เพิ่ม 9% YoY และ 42% QoQ. ไตรมาสนี้มีการตั้ง provision จากการปิดโรงงานแซลมอนในอังกฤษ ราว 500 ล้านบาท อย่างไรก็ดี กำไรหลักที่เติบโตดีมาจากมาร์จิ้นที่ดีทั้งจากธุรกิจทูน่าและแซลมอน แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 22.50 บาท

 

 

(+) BCP  เผย 3Q18 จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน ส่วน BBGI เลื่อนเข้าตลาดไปเป็นปี 62 (ที่มา ผู้จัดการ)

(-) สมาคมอาคารชุดชี้ แบงก์ชาติคุมเข้มสินเชื่ออสังหาฯใช้ยาแรงเกินปัญหา เพิ่มเงินดาวน์เท่าตัว หวั่นยอดโอนคอนโดกลางล่างหายจากตลาดกว่าแสนล้าน โครงการเปิดตัวปี 62 หายกว่าครึ่ง แนะลดเพดานเงินดาวน์สูงกว่า 10% เล็กน้อย ด้านนายกอสังหาฯระบุมาตรการแบงก์ชาติ เพิ่มภาระผู้กู้เพิ่มหนี้-ทิ้งโอน (ที่มา กรุงเทพธุรกิจ)

(*) DTAC  "ฐากร" ระบุ ดีแทคประสานงานจะเข้ายื่นซองประมูล 9 ต.ค.นี้ ขณะที่เอไอเอสรอความชัดเจนวันนี้ (ที่มา โพสต์ทูเดย์)