ทยอยสะสมหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบ 3Q61

 

  ราคาปิด 30.50 บาท

  ราคาเหมาะสม 37.25 บาท

          เราเริ่มต้นคำแนะนำด้วย "ซื้อ" คาดกำไรสุทธิ 3Q61 มีโอกาสทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสที่ 100-110 ล้านบาท เติบโต 28-41% YoY จากรายได้เติบโตแบบ Organic Growth และ GPM เพิ่มขึ้นจากการลดสัดส่วนรับจ้างผลิต (OEM) โดยมุ่งเน้นผลิตแบรนด์ตัวเองมากขึ้น 

          สภาพคล่องของหุ้นในกระดานดีขึ้น หลังผู้ถือหุ้นขาย Big lot ให้นักลงทุนสถาบัน เราคาดกำไร 3 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ยปีละ 14.9% และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลปีละ 4% บน ROE ที่สูงกว่า 20%

 

  ราคาปิด 47.75 บาท

  ราคาเหมาะสม 60.00 บาท

          เราเริ่มต้นคำแนะนำด้วย "ซื้อ" จากกำไรได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วใน 1Q61 คาดราคาหุ้นตอบรับเชิงบวกต่อกำไร 3Q61 กลับมาโต +12% YoY และ +15% QoQ ที่ 696 ล้านบาท 

          จุดเด่น SAWAD คือ เป็นรายเดียวในกลุ่ม Non-Bank ที่ไม่มีความเสี่ยงจาก พรบ.ควบคุม Non-Bank อาจเกิดขึ้นในอนาคต เนื่องจากปล่อยสินเชื่อผ่าน BFIT ซึ่งเป็นสถาบันการเงินภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท.อยู่แล้ว ดังนั้น เราคาดกำไรปี 2562 เติบโต +31.8% YoY

 

  ราคาปิด 210.00 บาท

  ราคาเหมาะสม 235.00 บาท

          ราคาหุ้นแข็งแกร่งกว่าตลาด วันศุกร์ที่ผ่านมา +0.9% สวนทางหุ้นกลุ่มธนาคาร -0.5% และ SET Index -0.5% สะท้อนให้เห็นถึง Stock Rotation ภายในกลุ่มธนาคารเข้าสู่ BBL ที่มีความเสี่ยงของสินเชื่อที่อยู่อาศัยจำกัด

          แนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q61 คาดเติบโต +17% YoY และ +4% QoQ เป็น 9.57 พันล้านบาทเป็นปัจจัยบวกที่รออยู่ และ Valuation ยังไม่แพง ที่ระดับ PBV2561 เพียง 0.9 เท่า

 

  ราคาปิด 432.00 บาท

  แนวต้านทางเทคนิค 446.00 บาท 

          ราคาปิดล่าสุดทำระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน คาดมีโอกาสเกิด Technical Rebound แนวรับ 424.00 บาท แนวต้าน 446.00 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 420.00 บาท 

          ขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์คาดผ่านจุดต่ำสุดแล้วใน 1H61 และเข้าสู่การฟื้นตัวต่อเนื่องใน 2H61 อีกทั้งแผนลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ที่ทยอยก่อสร้างช่วยผลักดันความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เติบโตต่อเนื่องใน 2-3 ปีข้างหน้า

          ประเด็นที่ตลาดกังวลต่อผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีทำระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี หลังประธานเฟดให้ความเห็นต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับปกติยังอีกยาวไกล (long way to go) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดตราสารหนี้อย่างหนาแน่น ซึ่งเราประเมินว่าเป็นการแพนนิคช่วงสั้นเท่านั้น เพราะหากพิจารณาการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างตลาดตราสารหนี้ / ตลาดหุ้น ปรับตัวลง ยกเว้นตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมัน /ทองคำ รวมถึงดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แกว่งออกด้านข้าง สะท้อนนักลงทุนส่วนใหญ่ต่างเลือกถือเงินสดเพื่อรอจังหวะการลงทุนมากกว่า การโยกเงินจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าหา Safe haven 

          สำหรับวันนี้ จับตาตลาดหุ้นจีนเปิดทำการวันแรก หลังหยุดตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาช่วง Golden Week ซึ่งวานนี้ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดำรงเงินสดสำรอง (RRR) มากถึง 100bps มีผลตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินเข้าสู่ระบบ เรามองว่าตลาดหุ้นฮั่งเส็งและตลาดหุ้นจีนวันนี้มีโอกาสบวกเด่นได้เพื่อรับข่าวบวกดังกล่าว และเป็นการสะท้อนถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนที่จะกลับมาเดินหน้าผ่อนคลาย เพื่อประคองเศรษฐกิจให้เติบโตได้ตามกรอบเป้าหมายของรัฐบาลจีนในระยะยาวที่ 6.0-6.5% ต่อปี แม้ว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะยังมีความไม่แน่นอน

          ขณะที่ปัจจัยสำคัญของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้เรากลับมาให้น้ำหนักกับการประกาศงบการเงิน 3Q61 เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.กับ TISCO / KTC ซึ่งเราคาดผลการดำเนินงาน 3Q61 โตเด่นทั้ง YoY และ QoQ และการแสดงความจำนงค์กับการเข้าร่วมประมูลคลื่น 900MHz ในวันนี้ ทำให้เรามองว่ากลุ่ม Domestic Play กลับมาเด่นกว่า Global Play อีกครั้ง ประเมินกรอบแกว่ง SET INDEX วันนี้ระหว่าง 1,710 - 1,725/30 จุด กลยุทธ์หลักยังคงแนะนำ "ทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว" หุ้นที่แนวโน้มกำไรใน 3Q61 เช่น KTC / SCB / SABINA / TRUE / STEC / BDMS เป็นต้น

 

          1. ตลาดหุ้นจีนกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง หลังปิดทำการในสัปดาห์ที่ผ่านมา ลุ้นการปรับลด RRR จะช่วยประคองตลาดได้หรือไม่?

          2. กลุ่มสื่อสารเด่นในสัปดาห์นี้ จากความชัดเจนว่าใครบ้างจะเข้าประมูลคลื่น 900MHz 

          3. Dollar Index กลับมาอ่อนค่า หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯต่ำกว่าคาด 

          4. วันนี้เรามี Initiate หุ้นใหม่ 3 ตัว!!! อย่าลืมติดตามว่าเป็นหุ้นใดบ้าง?

 

          วันศุกร์ที่ผ่านมา SET INDEX ปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 4 อีกราว 8.88 จุด (-0.51%) ปิดที่ 1720.52 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลงเหลือเพียง 4.7 หมื่นล้านบาท โดยมีรายการ Big Lot หุ้น BJC มูลค่าสูงถึง 1.7 พันล้านบาท  

          กระแสเงินทุน : นักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศขายสุทธิทั้ง 2 กลุ่ม โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นวันที่ 4 อีกราว 2.3 พันล้านบาท รวม 4 วันทำการขายสุทธิสะสมราว 1.1 หมื่นล้านบาท ขณะที่สถาบันในประเทศขายสุทธิเป็นวันที่ 5 อีกราว 679 ล้านบาท รวม 5 วันทำการขายสุทธิสะสมราว 8.4 พันล้านบาท ด้านตลาด SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Short สุทธิหนาแน่นราว 5 พันสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Short สุทธิสะสมราว 2.7 หมื่นสัญญา สวนทางกับกลุ่มสถาบันในประเทศและบัญชี บล. ที่มีสถานะ Long สุทธิเป็นวันที่ 4 อีกราว 3.5 พันสัญญา รวม 4 วันทำการมีสถานะ Long สุทธิสะสม 2.3 หมื่นสัญญา

          ตลาดตราสารหนี้ : นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหนาแน่นถึง 7.5 พันล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตราสารหนี้ไทยสูงถึง 2.4 แสนล้านบาท

 

 

สหรัฐฯรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 1.34 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 1.85 แสนตำแหน่ง ขณะที่การว่างงานสหรัฐฯอยู่ที่ระดับ 3.7% ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2512 และดีกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 3.8%

สหรัฐฯรายงานยอดขาดดุลทางการค้าเดือน ส.ค. ที่ระดับ US$5.32 หมื่นล้าน สูงสุดในรอบ 6 เดือน

ธนาคารกลางจีนประกาศลด RRR ลง 1% ในวันที่ 15 ต.ค. นี้ และจะมีการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมอีก 7.5 แสนล้านหยวน

รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯเผยว่าสหรัฐฯอาจกำหนดเงื่อนไขในลักษณะที่คล้ายกับ USMCA ในการเจรจาทางการค้ากับประเทศญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป (EU) คือการห้ามทำสัญญาทางการค้ากับจีน

ซาอุดิอาระเบีย คาด IPO หุ้น Saudi Aramco จะเข้าซื้อขายในช่วงปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564

Baker Hughes รายงานแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ ลดลง 2 แท่น เป็น 1,052 แท่น

ติดตามการรายงานค่า PMI ของจีนในเดือน ก.ย. วันที่ 8 ต.ค.

ติดตามการรายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกของ IMF วันที่ 8-9 ต.ค.

ติดตามการรายงานเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ เดือน ก.ย. ตลาดคาดขยายตัว 2.4% YoY วันที่ 11 ต.ค.

ติดตามการรายงานนำเข้า - ส่งออกจีน เดือน ก.ย. ตลาดคาดส่งออกขยายตัว 8.7% YoY และนำเข้าขยายตัว 14.5% YoY วันที่ 12 ต.ค.