WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASPบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
 
กลยุทธ์การลงทุน
  แม้ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นจะมีผลดีต่อกลุ่มพลังงาน แต่แรงกดดันที่แรงกว่าจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และสถาบัน น่าจะกดดันให้ SET Index ยังต้องปรับฐานต่อ ส่วนประเด็นแวดล้อมอื่นส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่กระทบรายบริษัท เช่นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีกรณีของ BGRIM และ RATCH กรณีสงครามการค้ายังเป็นความเสี่ยง กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นหุ้นที่เติบโตอิงเศรษฐกิจในประเทศ และมีผลกำไรดีต่อเนื่องในปี 2562 Top picks เลือก SAWAD(FV@B55), TPIPP([email protected]) และ CPALL(FV@B80) 2 บริษัทหลัง อยู่ในกลุ่ม Laggard
 
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ …. SET Index ยังปรับฐานลงต่อ
  วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงแรงช่วงท้ายตลาดฯ ก่อนปิดที่ 1,741.96 จุด ลดลง 6.13 จุด หรือ 0.35% มูลค่าการซื้อขาย 5.8 หมื่นล้านบาท หุ้นในกลุ่มพลังงาน PTT เผชิญกับแรงขายต่อเนื่อง ลดลง 1.8% ตรงข้ามกับ PTTEP เพิ่มขึ้น 0.5% ขณะที่กลุ่มปิโตรฯ ทั้ง IVL และ PTTGC ราคาปรับขึ้นทั้งคู่จากเหตุโรงงานปิโตรเคมีในซาอุดิอาระเบียระเบิด ซึ่งผลิตสินค้าในกลุ่มโพลีโพรพิลีน (PP) กระทบ supply หายไปบางส่วน อาจทำให้ spread (PP-Naphtha) ภูมิภาคปรับตัวขึ้นช่วงสั้น และ อีกกลุ่มที่ปรับตัวโดดเด่นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 คือ เช่าซื้อ SAWAD (+3.2%) และ MTC(+6.67%) เพราะแรงกดดันหายไป เมื่อ พรบ. Non-bank มีแนวทางกำกับธุรกิจสินเชื่อทะเบียนที่ชัดเจนขึ้น  และ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ ขณะเดียวกันทั้ง 2 ได้เข้าไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. จากปัจจุบันที่อยู่ภายใต้กระทรวงพาณิชย์  
  คาด SET Index วันนี้ยังพักตัวในกรอบ 1730 - 1750 จุด โดยได้แรงหนุนจากหุ้นน้ำมัน ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ขึ้นเหนือ 85 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล หลังทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี  แต่ได้สะท้อนได้ราคาหุ้นทั้ง PTT, PTTEP แล้ว และให้น้ำหนักไปที่หุ้นมีประเด็นบวกหนุนเฉพาะตัวอย่าง BGRIM และหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการ 3Q61 โดดเด่น เช่น หุ้นโรงไฟฟ้า TPIPP GUNKUL และโรงพยาบาล RJH, BCH
 
BGRIM ได้งานใหม่ป้อนไฟฟ้าให้อู่ตะเภา ส่วน RATCH ยังต้องรอสรุปโรงไฟฟ้าในลาว 
  วานนี้ BGRIM แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าได้รับคัดเลือกเป็นผู้ดำเนินโครงการระบบไฟฟ้าและน้ำเย็นพื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา โดยจะเป็นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 80 MW, โรงไฟฟ้าโซลาร์ 15 MW, ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) 50 MWh คิดเป็นกำลังการผลิตรวมประมาณ 145 MW มูลค่าโครงการาว 3,600 ล้านบบาท และจะ COD ได้ภายในเดือน ม.ค. 2564 พร้อมคาดหวังอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน(IRR) กว่า 10% 
  ขณะที่โครงการระยะที่ 2 จะเป็นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 80 MW, โรงไฟฟ้าโซลาร์ 55 MW มีมูลค่ารวมประมาณ 2,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่เพิ่มเติม รวมถึงนโยบายของกองทัพเรือด้วย 
  ประเด็นดังกล่าวถือเป็นบวกต่อ BGRIM ซึ่งฝ่ายวิจัยยังไม่รวมไว้ในประมาณการ โดยโครงการดังกล่าว(เฉพาะเฟส 1) คิดเป็น 4.6% ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดในปัจจุบันของ BGRIM และประเมินเบื้องต้น อาจจะเพิ่มมูลค่าพื้นฐานราว 1-1.5 บาท/หุ้น จากมูลค่าปัจจุบันที่ 32บาท/หุ้น ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยจะนำเสนอรายละเอียดอีกครั้ง หลังได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้บริหาร แต่ยังคงคำแนะนำซื้อ
  ส่วน RATCH กรณีเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซเปียน-เซน้ำน้อย ใน สปป.ลาว กำลังการผลิต 410 MW เกิดรอยร้าว และไหลเข้าท่วมพื้นที่ที่อยู่อาศัยของประชาชน เมื่อ 23 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น ล่าสุด RATCH ได้แจ้งความคืบหน้าว่าอยู่ระหว่างรอรัฐบาล สปป.ลาว ตรวจสอบหาสาเหตุและสรุปความเสียหายและดำเนินการซ่อมบำรุงโครงการดังกล่าว แต่ผลกระทบที่ตามมาคือ โครงการนี้ต้องเลื่อนการจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ออกไปจากเดิม ก.พ. 2562 เป็นช่วงปลายปี 2562 อีกทั้งมีโอกาสที่จะต้องจ่ายค่าปรับให้กับ กฟผ. หากต้องเลื่อนจ่ายไฟออกไป ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา
  ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินถึงผลกระทบต่อมูลค่าพื้นฐาน หากไม่รวมโครงการนี้ 102.5MW (คิดตามสัดส่วนที่ RATCH ถือ 25% จากกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 410MW) จะกระทบต่อกำลังการผลิตรวมของ RATCH เพียง 1.5% จากกำลังการผลิตรวมทั้งหมดของ RATCH ที่ราว 7,000MW และกระทบต่อ Fair Value ราว 1 บาท และบริษัทฯมีการทำประกันภัยโครงการไว้ คาดจะสามารถชดเชยได้จากประกันภัย แต่ยังคงต้องรอการตรวจสอบและประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อน โดยรวมจึงถือว่ากระทบต่อ Fair value จำกัด
 
สต็อกน้ำมันเพิ่มกว่าคาด แต่ปัญหา supply ยังมีอยู่ หนุนราคาน้ำมันขึ้นแรง
  ราคาน้ำมันดิบดูไบ แกว่งตัวเหนือ 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ทำให้ค่าเฉลี่ยจากต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 70.37 เหรียญฯ  ซึ่งดีกว่าสมมติฐานที่ประเมินไว้ที่ 65 เหรียญฯ ปีนี้ และ 70 เหรียญฯ ปี 2562 และ 75 เหรียญปี 2563 เป็นต้นไป  ทั้งนี้แม้สำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นราว  7.97 ล้านบาร์เรล (มากกว่าตลาดคาดเพิ่ม 1.98 ล้านบาร์เรล) และ Dollar Index ที่เดินหน้าแข็งค่าต่อเนื่องราว 4.26%ytd ผลจากตัวเลขแรงงานออกมาดีกว่าคาด (การจ้างงานภาคเอกชน) เดือนก.ย. เพิ่มขึ้นถึง 2.3 แสนตำแหน่ง สูงสุดในรอบ 6 เดือน 
  ขณะที่ปัญหาด้าน supply ที่จะหายไป ผลจากสหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน ตั้งแต่ มิ.ย. ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 4 พ.ย. เป็นผลทำให้ปริมาณน้ำมันดิบโลกหายไปวันละ 5.8 แสนบาร์เรล  แม้ล่าสุด ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลกตัดสินสหรัฐยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเนื่องจากเป็นการละเมิดเงื่อนไขในสนธิสัญญามิตรภาพระหว่างสหรัฐ-อิหร่านในปี 2498  อย่างไรก็ตาม ล่าสุด รมว.ต่างประเทศสหรัฐ  ประกาศว่าสหรัฐได้ยกเลิกสนธิสัญญามิตรภาพ ทำให้มาตรการคว่ำอิหร่านจะยังมีผลต่อ     ขณะที่การควบคุมการผลิตน้ำมันดิบโลกยังอยู่จนถึงสิ้นปี และการผลิตในสหรัฐมีที่ผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า หนุนการกำลังผลิตที่ 11.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน  
  ราคาน้ำมันที่ดีกว่าคาดดังกล่าว น่าจะเริ่มเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจโลก แต่จะหนุนผลประกอบการหุ้นน้ำมัน (PTTEP, PTT) ในงวด 2H61 ในเรื่องของสต็อกน้ำมันดิบ ดังนั้นหากกำหนดให้ราคาน้ำมันดิบในงวด 4Q61 แกว่งระหว่าง 75-80 เหรียญฯ จะทำให้ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันปี 2561 อยู่ที่ 71.2-72.4 เหรียญฯ  จะทำให้ประมาณการกำไรในปี 2561 ดีกว่าคาดเล็กน้อย   กรณีที่ดีมากคือ เพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบระยะยาวขึ้นปีละ 5 เหรียญฯ คือปี 2562 เป็น 75 เหรียญฯ และ 80 เหรียญฯ ในปี 2563 เป็นต้นไป จะได้มูลค่า PTTEP, PTT  เพิ่มขึ้นจากเดิม หุ้นละ 10 บาท  และ 2 บาท เป็น 156 บาท (ดังตาราง)  ถือมี upside  จำกัด
 
Bond Yield สหรัฐสูงสุดในรอบ 7 ปี กดดันเงินทุนไหลออกตลาดทุน 
  วานนี้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้หยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันชาติ ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆ ยังคงเปิดทำการเป็นปกติ โดยภาพรวมแล้วพบว่า ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคอีก 94 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และเป็นการขายสุทธิทุกประเทศ  เริ่มจากไต้หวันถูกขายสุทธิ 94 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 16 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2), ฟิลิปปินส์ 5 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 25 วัน) และไทยที่ต่างชาติขายสุทธิอีก 31 ล้านเหรียญ หรือ 1.02 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 1.57 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
  การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ Fed 3 ครั้งในปีนี้ (ytd) และมีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่อง หนุนให้ Bond Yield 10 ปี สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วและเป็นการสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 7 ปี 3 เดือน ล่าสุดอยู่ที่ 3.18% (จากต้นปีที่มีค่าเพียง 2.41% เพิ่มขึ้น 77.6 bps.) จูงใจให้ต่างชาติลดพอร์ตหุ้นและหันไปลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น
  ส่วน Bond Yield 10 ปี ของไทย แม้ยังน้อยกว่าสหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่ 2.82% แต่มีโอกาสเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนตัวเลขเงินเฟ้อไทย ส่งผลให้ทาง ธปท. มีโอกาสทยอยลดความจำเป็นในนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง หรือมีโอกาสปรับดอกเบี้ยขึ้นในปลายปีนี้
 
ภรณี ทองเย็น  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ  ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร  ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO14634

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!