- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 03 October 2018 21:13
- Hits: 8506
บล.เอเชีย เวลท์ : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
โดนขายทั้งภูมิภาค แต่สหรัฐฯ ยังเดินหน้าขึ้น
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังแข็งแกร่งไม่พอจะฝ่าแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,762-1,765 จุดขึ้นไปได้ เผชิญแรงขายหนักจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขายสุทธิสูงถึง 3.2 พันล้านบาท และกองทุนในประเทศขายสุทธิอีก 2.7 พันล้านบาท แนะนำนักลงทุนรอหาจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว สำหรับวันนี้ ให้จับตา ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า จากการไหลออกของเงิน เนื่องจากขณะนี้ค่าเงินบาทแทนจะแข็งค่าสูงสุดใน Emerging Markets เราจึงแนะนำซื้อหุ้นได้ประโยชน์จาก 1) เงินบาทอ่อนค่า 2) แนวโน้มกำไรช่วง 2H61 พลิกฟื้น โดยมองว่าธุรกิจส่งออกจะดีในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2561 โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และอาหารส่งออก เราชอบ KCE, HANA, TU, CPF, GFPT 2)ทิศทางของราคาน้ำมัน หากไม่ปรับตัวลงแรง หาโอกาสเข้าซื้อ PTT, PTTGC, TOP กรอบดัชนีวันนี้ 1,740-1,765 จุด หุ้นแนะนำ KCE, TU, XO
Stock Comment
KCE Pick of the day
TU (ปิด 17.20 บาท; ซื้อ; AWS TP 20.00 บาท) ราคาวัตถุดิบปลาทูน่าเฉลี่ยไตรมาส 3/61 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 1,467 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ทั้ง -12%QoQ และ -27%YoY ช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นของ TU มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
XO (ปิด 10.30 บาท; ซื้อ; AWS TP 13.10 บาท) จากการพบปะผู้บริหารวานนี้ พบว่า Outlook ในช่วง 1H61 ของ XO ยังคงสดใส ดีกว่าความคาดหมายเดิม เนื่องจาก 1.บริษัทมีการปรับราคาสินค้าขึ้นราว 1%-6% 2.ราคาวัตถุดิบลงอย่างมีนัยยะ คาดทำให้ GPM พุ่งขึ้นได้อีกช่วง 2H61 3.ภาพรวมการขายซอสปรุงรสในยุโรปเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในประเทศเดิมที่เข้าไปขายมีการซื้อซ้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากเทรนด์อาหารไทยอาหารสุขภาพ-การทำอาหารเองที่บ้านมาแรง Outlook ที่ดีแบบนี้ คาดว่าไปต่อได้ข้ามไปถึงปี 2562
หุ้นเด่นวันนี้ : KCE (ปิด 43.00 บาท; ซื้อ; AWS TP 49.00 บาท)
นอกเหนือจากที่เราคาดว่ากำไรของ KCE ในช่วง 2H61 จะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงและราคาทองแดงอ่อนตัวลง เทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่แนวโน้มใน 1 ปีข้างหน้า คาดว่าเทรนด์ Autonomous Driving ในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก และเทรนด์ 5G ในอุตสาหกรรม Smartphone (คาดเริ่มที่เกาหลีใต้ก่อน) เราคาดว่าจะนำมาซึ่งความต้องการแผง Multi-layer PCB เพิ่มมากขึ้น คาดว่าเป็นปัจจัยขับเคลื่อนกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ในช่วงปี 2562 เป็นต้นไป ซึ่ง KCE เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มนี้ของเรา
Price Pattern ของ KCE มีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิด Monthly Buy Signal แต่ระยะสั้นและระยะกลางยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการปรับฐานจากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Sell Signal ซึ่งจะกลับมาเกิดความแข็งแกร่งในระยะสั้นด้วยการเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่เมื่อปิดตลาดเหนือ 43 บาท หากสามารถกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ จะมีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 47.25 บาท และ 51.25 บาท ตามลำดับ (Resistance: 43.50, 44.00, 44.75; Support: 42.75, 42.25, 41.50)
ปัจจัยในประเทศ :
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับขอบล่างประมาณการ GDP ปี 2561 ขึ้นเป็น 4.4-4.8% จากเดิม 4.3-4.8% และปรับประมาณการการเติบโตส่งออกปีนี้ขึ้นเป็น 8-10% จาก 7-10% ถึงแม้ว่า GDP ปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4.4% แต่ กกร. คาดเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตช้ากว่าครึ่งปีแรกที่ 4.8% เนื่องจากภาคส่งออกและท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และเงินบาทแข็งค่า (บางกอกโพสต์)
ธปท. เตรียมคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย หลังพบพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนสูงขึ้น (Search-foryield behavior) ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงอุปสงค์เทียมและการประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป โดยในช่วงที่ผ่านมา ธปท. ได้ใช้มาตรการ Micro-prudential ในการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยแล้ว และกำลังจะทำประชาพิจารณ์สำหรับออกมาตรการกำกับดูแลเพิ่มเติม (บางกอกโพสต์) ความเห็น: อุปสงค์สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้นดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากดอกเบี้ยที่ต่ำมานาน อย่างไรก็ตาม จากทิศทางดอกเบี้ยที่เริ่มเป็นขาขึ้นและมาตรการกำกับดูแลเพิ่มขึ้นจาก ธปท. เราคาดธนาคารจะใช้นโยบายการปล่อยสินเชื่อแบบระมัดระวังขึ้น เช่น อาจลดวงเงินต่อหลักประกันลง (LTV)
SCC (ปิด 442 บาท; ถือ; AWS TP 480 บาท) เรามีมุมมองเป็นลบต่อการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ (3 ต.ค. 61) ยอดขายปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/61 ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบ ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีที่ลดลง นอกจากนี้ในปี 2562 ต้นทุนถ่านหินจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลกอีกประมาณ 15-20% ทำให้นักวิเคราะห์ในตลาดมีโอกาสปรับประมาณการและราคาเป้าหมายลงเมื่อ rollover ไปใช้ราคาเป้าหมายในปีหน้า คาด SCC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/61 เท่ากับ 10,364 ล้านบาท (-12% YoY, -16% QoQ) เราปรับลดคำแนะนำเป็น "ถือ" ด้วยราคาเป้าหมาย 480 บาทต่อหุ้น
ADVANC (ปิด 199.50 บาท; BUY; AWS TP 229.00 บาท)Singtel จับมือ AIS เปิดตัว VIA เครือข่ายบริการชำระเงินด้วยมือถือข้ามประเทศรายแรก: Singtel เปิดตัว VIA บริการชำระเงินผ่านมือถือข้ามประเทศภายใต้การร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มเพื่อเชื่อมต่อบริการระหว่างกันด้วยการเริ่มต้นจับมือกับ AIS และ KBANK (Bangkok Post) ความเห็น: บริการ Via จะช่วยเพิ่มประสบการณ์การชำระเงินให้แก่ผู้บริโภคนับล้านราย ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการใช้งาน E-wallet ซึ่งถือเป็นแรงผลักดันใหญ่ที่ช่วยให้ภูมิภาคอาเซียนเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และสานต่อวิสัยทัศน์ในการทำให้เกิดตลาดดิจิทัลที่ใช้งานร่วมกัน ซึ่งในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังตลาดของกลุ่ม Singtel ในภูมิภาคเอเชียกว่า 80 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มากกว่า 1.5 ล้านคนต่อปีที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในสิงคโปร์และไทย และตัวเลขนี้ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตลาดต่างประเทศ :
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดาวโจนส์พุ่งขึ้น 122.73 จุด หรือ +0.46% ขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 1.16 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ลดลง 37.76 จุด หรือ -0.47% ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์และหุ้นโบอิ้ง ถือเป็นตัวชี้วัดการค้าของสหรัฐฯ เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศ หุ้นเฟซบุ๊กดิ่งลงเกือบ 2% เนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก หุ้นอินเทลพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 3.5% เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนดัชนีดาวโจนส์ หลังจากมีรายงานว่า บริษัทอาจเร่งการผลิตชิป "10-nanometer" เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะผลิตในเดือน มิ.ย.ปีหน้า นักลงทุนให้ความสนใจถ้อยแถลงของ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เฟดสามารถสกัดอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ด้วยการชี้นำการคาดการณ์ในตลาด และเฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ได้เริ่มวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่เดือน ธ.ค.58
สินค้าโภคภัณฑ์ :
ราคาน้ำมันดิบ : WTI ลดลง 7 เซนต์ หรือ 0.09% ปิดที่ 75.23 ดอลลาร์/บาร์เรล; เบรนท์ ลดลง 18 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 84.80 ดอลลาร์/บาร์เรล โพลล์สำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะน้ำมันตึงตัว จากการที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน
ราคาทองคำ : เพิ่มขึ้น 15.30 ดอลลาร์ หรือ 1.28% ปิดที่ 1207.00 ดอลลาร์/ออนซ์เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอิตาลี ซึ่งได้ฉุดตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงนั้น ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย การแข็งค่าของดอลลาร์มาที่ 95.458 ไม่สามารถสกัดแรงบวกของราคาทองคำได้ แม้โดยปกติแล้วดอลลาร์ที่แข็งค่าจะลดความน่าดึงดูดของทองคำ เพราะทำให้สัญญาทองคำมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น เราคาดว่ามาจากความกังวลว่าค่าเงินสกุลต่าง ๆ กำลังอ่อนค่า
Thailand Research Department
Vajiralux Sanglerdsillapachai (No.17385) Tel: 0-2680-5077
Krit Suwanpibul (No.17968) Tel: 0-2680-5090
Adisak Prombun (No.14543) Tel: 0-2680-5056
Veeraya Rattanaworatip (No.86645) Tel: 0-2680-5042
Nutchapol Cheevavichawalkul (No.46377) Tel: 0-2680-5094
OO14564