- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 01 October 2018 17:29
- Hits: 5713
บล.ฟินันเซียไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ >> Stay in Domestic and Laggard Play
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ยังคงแกว่งตัว Sideways และอยู่ในช่วงพักฐานตามคาดโดยปิดบวกได้ 3.46 จุด ณ สิ้นวัน อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติที่พลิกกลับมาซื้อสุทธิกลุ่มละ 1.2 พันลบ. (และพลิกมา Long ใน Index Futures 4.2 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET Index คาดว่าจะยังแกว่งตัว Sideways ต่อเนื่องโดยมีแรงกดดันเล็กน้อยจากตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือน ก.ย. ของจีนที่ออกมาต่ำกว่าคาดและอยู่ที่ระดับ 50.0 พอดีและยังไม่เห็นสัญญาณที่ดีขึ้นระหว่างสหรัฐฯ-จีนในการทำสงครามการค้า อย่างไรก็ตามกลุ่มพลังงานคาดว่ายังได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ยังปรับขึ้นและช่วยพยุงตลาดได้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศที่แข็งแกร่งทั้งเศรษฐกิจและการเมืองคาดว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนสถาบันและต่างชาติให้กลับเข้าซื้อหุ้นไทย และเรามองว่าดัชนีจะยังปรับตัวขึ้นในระยะกลาง-ยาว
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Domestic ที่ยัง Laggard //ระยะกลาง-ยาวยังเน้นถือต่อเนื่อง
หุ้นเด่นเดือนต.ค. : BDMS, CPALL, CPN, MINT, PTTGC
Fund Flow เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$86ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$281ล้าน ขณะที่ไหลเข้าไต้หวัน US$89ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลเข้า US$38ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคหลัง Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อไป ขณะที่ตลาดกลับมากังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกันอีก
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> CK <<
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 34 บาท
งานภาครัฐฯมีโอกาสเร่งอนุมัติมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี เช่น ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง, รฟฟ.ม่วงใต้, มอเตอร์เวย์ 2 เส้น และรถไฟทางคู่ 9 เส้นทาง โดยเราคาดว่า CK จะได้รับงานเข้ามาเติมอย่างน้อย 3 หมื่นลบ.
ราคาหุ้นยัง Discount NAV ของบริษัทลูก (BEM, CKP, TTW) อยู่ราว 30%
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) กลยุทธ์การลงทุนเดือน ต.ค. ความกังวลต่างๆของนักลงทุนทั่วโลกที่เคยมีก่อนหน้านี้คลี่คลายไปมาก ขณะที่ในประเทศมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเรื่องเลือกตั้งและการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี เราจึงมองว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นทำจุดสูงใหม่ในรอบ 5 เดือน เม็ดเงินจากต่างชาติน่าจะย้ายจากตลาดพันธบัตรเข้าสู่ตลาดหุ้น จึงเน้นหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่เกาะกระแสการเลือกตั้งและการลงทุน อย่างไรก็ตาม หุ้นขนาดใหญ่หลายตัวปรับขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาแล้ว หุ้นแนะนำเดือน ต.ค. จึงเลือกหุ้นใหญ่ที่ราคายัง laggard ได้แก่ BDMS, CPALL, CPN, MINT, PTTGC
(-) กลุ่มท่องเที่ยว เหตุการณ์นักท่องเที่ยวจีนถูกทำร้ายในสนามบินดอนเมือง กระทบภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยในระยะสั้น เราหวังว่าทางการจะเร่งแก้ปัญหาให้ลุล่วงโดยเร็วเพราะกำลังเข้าสู่ high season กลุ่มโรงแรมและ AOT ราคาอ่อนตัวน่าสะสมเพิ่ม ส่วนกลุ่มสายการบิน ไม่แนะนำเพราะการแข่งขันรุนแรงและราคาน้ำมันสูง
(+) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดการณ์กำไร 3Q18 ลดลง 2% Q-Q (รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่จะอ่อนตัวลงจาก Migrate การโอนเงินสู่ Mobile banking มากขึ้นและการลดลงของกำไรจากการขายเงินลงทุน) แต่เพิ่ม 10% Y-Y (จากสำรองฯที่ลดลงและคาดรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 3% Y-Y) ในไตรมาสนี้สินเชื่อยังไม่ใช่ปัจจัยสนับสนุนความน่าสนใจลงทุนเพราะเราคาดว่าสินเชื่อใน 3Q18 ยังแผ่วที่ราว 0.5% Q-Q แต่น่าจะ +3% YTD และเรายังคงประมาณการสินเชื่อทั้งปีที่ +5.5%YTD เนื่องจาก High Season ที่จะเกิดใน 4Q18 และต่อเนื่องในปี 2019 จากความเชื่อมั่นการลงทุนที่ดีขึ้นก่อนและหลังการเลือกตั้งซึ่งน่าจะทำให้ Investment cycle เกิดขึ้นได้ เรามีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการสินเชื่อปีหน้าขึ้นเป็น 7-8% และประมาณการเติบโตของกำไรปี 2019 ขึ้นเป็น 8% ปรับน้ำหนักการลงทุนเป็น Overweight โดยแนะนำ KBANK (TP 235 บาท) และ BBL (TP 232 บาท)
(0) DTAC เราคาดผลการดำเนินงาน 3Q18 จะพลิกมาขาดทุนชั่วคราว 1,429 ลบ. เพราะมีค่าตัดจำหน่ายเพิ่มจากการยุติข้อพิพาทเสาโทรคมนาคมกับ CAT แต่คาดว่าจะพลิกกลับมากำไรใน 4Q18 และโตแรงในปี 2019 จากค่าตัดจำหน่ายสินทรัพย์สัมปทานที่หมดไป เราปรับกำไรสุทธิปี 2018 ลงเล็กน้อยเหลือ 1,713 ลบ. -19% Y-Y แต่ปรับปี 2019 ขึ้นเป็น 6,915 ลบ +303.7% Y-Y จากค่าเช่าสินทรัพย์จาก CAT ที่ต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยยะ พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 2019 ที่ 57 บาท เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ จาก Upside ที่เปิดกว้าง แต่ยังชอบ ADVANC มากกว่าเพราะไม่มีความเสี่ยงเรื่องคลื่นความถี่ในมือ
(0) M แนวโน้มกำไร 3Q18 น่าจะลดลงทั้ง Q-Q และ Y-Y จากปัจจัยฤดูกาล และฝนตกค่อนข้างเยอะ จึงคาด SSSG จะติดลบทั้งร้าน MK และ Yayoi กอปรกับเริ่มมีการทำการตลาดมากขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายเร่งตัว และคาดกำไรจะกลับมาโตทำจุดสูงสุดของปีใน 4Q18 ที่เป็น High Season และมีการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง ทั้งนี้คาดจะไม่มีค่าใช้จ่ายโบนัสพิเศษเหมือนในปีก่อน น่าจะทำให้กำไร 4Q18 เติบโตดี Y-Y ยังคาดกำไรสุทธิปี 2018 โต 8.6% Y-Y อยู่ที่ 2,634 ลบ. และคาดโต 10.3% Y-Y อยู่ที่ 2,904 ลบ. ในปี 2019 แต่เริ่มดูมี Downside มากขึ้น ภายหลังแนวโน้มราคาหมูและเป็ดเริ่มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบอาหารในปีหน้า เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 78 บาท คงคำแนะนำถือ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
1 ต.ค.- สหรัฐฯ: ISM ภาคการผลิต (ก.ย.)
2 ต.ค.- ออสเตรเลีย: ประชุมธนาคารกลาง ตลาดคาดคงดอกเบี้ย 1.5%
5 ต.ค.- สหรัฐฯ: ดุลการค้า (ส.ค.) ยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (ก.ย.)
(+) ตลาดสหรัฐปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หลัง FED ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยจากเศรษฐกิจที่ดี นอกจากนี้ตลาดยังมีความหวังเรื่องการเจรจา NAFTA มากขึ้น
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงจากความกังวลในอิตาลี หลังเปิดเผยแผนงบประมาณขาดดุลที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อทั้งความเชื่อมั่นและต้นทุนทางการเงินของภาครัฐให้แพงขึ้น
(0) ตลาดเอเชียเช้านี้ปรับตัวผสมผสาน จากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นญี่ปุ่นหลังการอ่อนค่าลงของเงินเยน ซึ่งช่วยลดทอน Sentiment ในเชิงลบ จากสัญญาณทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ดูแย่ลง
(+) ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 32.27 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 1.13 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 73.25 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังตลาดยังคงกังวลเรื่องการคว่ำบาตรอิหร่าน
(+) ค่าการกลั่นสิงคโปร์ปรับตัวขึ้น +3.0% ล่าสุดเคลื่อนไหวอยู่ที่ 5.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
() ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น 8.80 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1196.20 ดอลลาร์/ออนซ์
Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530
Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com
FB : FINNANSIA SYRUS SECURITIES LINE : @fnsyrus
OO14469