WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 
 
 
“ต่างประเทศดูดี GDP ไตรมาส 2 สหรัฐ สูงสุดรอบ 4 ปี”
 
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ขยับขึ้น +3.02 จุด ปิดที่ 1752.95 จุด ยังรีบาวด์กลับมาช่วงท้ายตลาดฯได้ แม้ว่าระหว่างวันลงไปทำยอดต่ำสุดถึง 1735.58 จุด และถือว่าดีกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้านที่ส่วนใหญ่ปรับลง มูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นเป็น 63.4 พันล้านบาท ถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่หุ้นอยู่ในแดนลบทั้งวัน แม้ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และจะปรับขึ้นต่อเนื่องปีหน้าไม่มีอะไร Surprise อาจยังกังวลสงครามการค้าอยู่ แต่ก็มีแรงเสริมจากการทำ Window Dressing ก่อนปิด 9M61 หุ้นที่กลับมาช่วยตลาดคือ PTTEP, AOT, BEAUTY, EA และ SCB ด้านผู้ซื้อสุทธิเป็น พอร์ตโบรกเกอร์ 1.6 พันล้านบาท และรายย่อย 1.1 พันล้านบาท ส่วนผู้ขายสุทธิคือ ต่างประเทศ 1.7 พันล้านบาท และสถาบัน 1.0 พันล้านบาท
  แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้นคาดว่า SET รับข่าวเรื่องเฟดไปพอควร ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐสดใส โดยเฉพาะ GDP ไตรมาส 2 ที่ 4.2% สูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ดาวโจนส์และน้ำมันปรับขึ้นดี และดัชนียังได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นสูงต่อเนื่อง มีการทำ Window Dressing ก่อนปิด 9M61 แต่ปัจจัยต่างประเทศที่ไม่สดใส มาจากเรื่องการใช้ภาษีนำเข้าจีน-สหรัฐ จีนเมินไม่เจรจากับสหรัฐ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ล่าสุดต่ำลงเป็น 3.0485% ดัชนีความกลัว (VIX) เป็น 12.41 จุดไม่สูงนัก ตลาดหุ้นเพื่อนเช้านี้แกว่งแคบๆ บวกเป็นส่วนใหญ่ ดาวโจนส์ล่วงหน้า +13 จุด ณ 8:04 น. น้ำมันล่วงหน้า mix ด้านปัจจัยในประเทศคือ ข่าว ธปท.คุมเข้มสินเชื่อทะเบียนรถ กระทบกลุ่มไฟแนนซ์ ดูเหมือนเป็นลบ แต่จริงๆแล้วดี ชัดเจน และปัจจุบันคิดไม่ถึง 28% และหลายประเทศปรับขึ้นดอกเบี้ย กดดันไทยให้ปรับตาม ที่ยังดีคือ ตัวเลขส่งออก ส.ค.สูงสุดเป็นประวัติการณ์ การเลือกตั้งตามโรดแมป สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ราคาน้ำมันผันผวน ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลงวิกฤติค่าเงิน EM ยังไม่คลี่คลาย ด้านปัจจัยบวกระยะกลาง-ยาว คือ เศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง หนี้ต่างประเทศน้อย ระยะสั้นยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมาเช่นกัน ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า แต่ก็มีข้อดีจะมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยจีนมาไทย กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1730-1770 จุด แต่ SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% แนะนำให้ทยอยสะสมได้
  Update หุ้นเด่น: SYNEX – คาดว่าช่วงงาน Thailand Mobile Expo 2018 ซึ่งเป็นมหกรรมงานจำหน่ายมือถือใหญ่สุดในไทย ระหว่าง 27-30 ก.ย.61จะมีการเก็งกำไรหลักทรัพย์ที่เน้นจำหน่ายมือถือ ซึ่งเงินสะพัดจะมากกว่า 2 พันล้านบาท ขณะที่ SYNEX มีส่วนแบ่งตลาดในการจัดจำหน่ายสินค้าไอทีและมือถือเป็นอันดับ 1 ในไทย โดยเฉพาะการเป็น Exclusive จำหน่ายแบรนด์ Huawei ในไทยซึ่งคาดว่าจะขายดี เพราะราคาถูกกว่า iPhone และ SAMSUNG คาดว่าจะสร้างยอดขายได้เป็นจำนวนมาก แนะนำ ซื้อ เด่นด้านการเติบโตกำไรและปันผล ราคาพื้นฐานเป็น 18.73 บาท
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1760-1770 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1730 จุด
  สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ GULF, CHG, RCL, BGRIM หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ PTL, PYLON, SENA, CPALL, THANI, STA, PTTGC, TKS หุ้นที่หลุด List SCP หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ AUCT, TCAP, PSL, AMATA, CKP,HMPRO
 
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์เพิ่ม ข้อมูลเศรษฐกิจสดใส
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,439.93 จุด เพิ่มขึ้น 54.65 จุด หรือ +0.21% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,914.00 จุด เพิ่มขึ้น 8.03 จุด หรือ +0.28% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,041.97 จุด เพิ่มขึ้น 51.60 จุด หรือ +0.65%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2 ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ขณะที่นักลงทุนซึมซับผลการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งที่ประชุมมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น เป็นผลจากมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 55 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 72.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 81.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าปริมาณน้ำมันในตลาดโลกจะลดลง หลังสหรัฐใช้มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของสหรัฐยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่นำน้ำมันจากคลังน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ออกมาขาย แม้การคว่ำบาตรอิหร่านจะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นก็ตาม
• ทองคำ : ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่า
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 11.7 ดอลลาร์ หรือ 0.98% ปิดที่ 1,187.4 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งล่าสุด นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
-/+ เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% และส่งสัญญาณปรับขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง แต่รับข่าวไปส่วนหนึ่งแล้ว
  # คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้
  # ส่วนการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิ.ย. โดยเฟดบ่งชี้ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ และจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า
  # นอกจากนี้ เฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 3.1% จากเดิมที่ 2.8% และปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ในปีหน้าสู่ระดับ 2.5% จากเดิมที่ 2.4% ส่วนการขยายตัวในปี 2563 ยังคงอยู่ที่ระดับ 2% ขณะที่คาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวในปี 2564 จะอยู่ที่ 1.8% เช่นเดียวกับอัตราการขยายตัวในระยะยาว
+/- ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐส่วนใหญ่สดใส โดยเฉพาะ GDP ไตรมาส 2
  # กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า GDP ประจำไตรมาส 2 ของสหรัฐขยายตัวที่ระดับ 4.2% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี หลังจากขยายตัวเพียง 2.2% ในไตรมาสแรก
  # ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 4.5% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 6 เดือน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากคำสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์
  # กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 12,000 ราย สู่ระดับ 214,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนส.ค. อันเนื่องมาจากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์
- ดอลลาร์แข็งค่า หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย รับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐสดใส
  # ดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐพร้อมส่งสัญญาณปรับอัตราดอกเบี้ยอีกในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2 ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศสัปดาห์นี้
  # ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
- ธนาคารกลางอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์พากันปรับขึ้นดอกเบี้ยวานนี้
  # ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 5.75% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 5 แล้วในปีนี้ สอดคล้องกับความพยายามในการปรับลดยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ ในขณะเดียวกันก็รักษาระดับความน่าดึงดูดของตลาดการเงินไว้
  # ธนาคารกลางฟิลิปปินส์มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% เป็น 4.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ เพื่อควบคุมการคาดการณ์เรื่องเงินเฟ้อ และดูแลเป้าหมายเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบของนโยบาย
+ การเมืองไทย: พรรคเพื่อไทยคึกคัก บุคคลมีชื่อเสียงแห่สมัครลงเลือกตั้ง
  # กลุ่มคนรุ่นใหม่ราว 30 คน อาทิ นายต้น ณ ระนอง บุตรชายนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายเดชณัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์บุตรชายนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ นางสาวอรุณี กาสยานนท์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ที่ปรึกษาเลขาธิการพรรคเพื่อไทยเป็นต้น ได้เดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการ และลูกหลานสมาชิกพรรคเพื่อไทย
+ เศรษฐกิจไทย ส.ค.61 สดใส จากการใช้จ่ายภาคเอกชน
  # สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานเศรษฐกิจไทยเดือน ส.ค.61 ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะจากการบริโภคสะท้อนจากการขยายตัวต่อเนื่องของปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่ง และปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 7 เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ระดับ 70.2 ถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 43 เดือน สำหรับเศรษฐกิจไทยด้านการผลิตยังคงขยายตัวได้ดีในภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่ขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้เกษตรกรขยายตัวต่อเนื่องและเป็นฐานการขับเคลื่อนการบริโภคที่สำคัญ
+ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทุกภูมิภาค
  # สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ประจำเดือน ก.ย.61 จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดล่าสุด พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทุกภูมิภาคนำโดยภาคเหนือ ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคจ้างงาน และภาคอุตสาหกรรม
 
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO14430

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!