CNS Daily Strategy: คาดตลาด “Sideway” 1758/1766จุด รับ 1742/1736จุด ตลาดพักฐานรอการประชุม FOMC 25-26 ก.ย. โดยคาด FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยตามคาด แต่วงจรหลักยังคงมองค่าเงินดอลล่าร์จะอ่อนค่า ตอบรับแนวโน้มที่ EU-UK จะตกลง Brexit ได้ในช่วง 4-6 สัปดาห์ข้างหน้า หนุนค่าเงินยูโรและปอนด์แข็งค่าเด่น เป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 81.39 เหรียญ/บาร์เรล รับ OPEC คงกำลังการผลิต หนุนกลุ่มพลังงานนำตลาดได้  วันนี้แนะนำ Theme “Selective Play” : PTT, BH, TMB

 

 

(*) Ex Factor: ตลาดพักฐานรอการประชุม FOMC 25-26 ก.ย. โดยคาด FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้

(+) Ex Factor: รัฐมนตรีอังกฤษฝ่ายBrexit เชื่อมั่นว่า UK จะตกลง Brexit กับ EU ได้ในที่สุด

(+) OIL: ราคาน้ำมันดิบวานนี้ WTI +1.84% สู่ $72.08 /bbl / BRT +3.29% สู่ $81.39 /bbl

(+) OIL: OPEC ประกาศคงกำลังการผลิต โดยเมินเฉยการเรียกร้องของสหรัฐฯ

(*) Fund Flow:ล่าสุดขายหุ้น-716ลบ., Short Future-14,185สัญญา, ซื้อBond +1,179ลบ.

 

Equity Daily Outlook : คาดดัชนีวันนี้ “Sideway” ต้าน 1758/1766จุด รับ 1742/1736จุด ตลาดพักฐานรอการประชุม FOMC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 25-26 ก.ย. โดย Nomura และ Consensus คาด FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ ซึ่งเป็นไปตามมุมมองของเราที่ให้โอกาสที่ค่าเงินดอลล่าร์จะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยรับการประชุม FOMC แต่อย่างไรก็ดี แนวโน้มหลักคือวงจรของดัชนีดอลล่าร์จะอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง จากความคาดหวังเชิงบวกต่อประเด็น Brexit หลังรัฐมนตรีอังกฤษฝ่ายกิจการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ค่อนข้างเชื่อมั่นว่าสหราชอาณาจักรจะสามารถทำข้อตกลง Brexit กับสหภาพยุโรปได้ในที่สุด เป็นปัจจัยหนุนค่าเงินยูโรและปอนด์แข็งค่าหลัง Under Valued มานาน ซึ่งค่าเงินดอลล่าร์ที่อ่อนค่า เป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบที่มีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการที่ OPEC ประกาศคงกำลังการผลิตต่อ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ และยืนเหนือ 81 เหรียญต่อบาร์เรล หนุนกลุ่มพลังงานนำตลาดได้

 

 

Daily Strategy : ถือหุ้น 75% Sector Rotation เน้นสะสม Domestic Play BBL, KBANK, TMB, CPALL, ROBINS, ADVANC, CK, STEC, PYLON, AMATA, GOLD, SC, ERW, BH, และ Global Play (PTT, PTTEP) วันนี้เน้น “Theme “Selective Play”

 

หุ้นเด่น AOT(TP75.5) ท่าอากาศยานประกาศเดินหน้าประมูลดิวตี้ฟรี บวกจำนวนนักท่องเที่ยวเดือน สค +3.04%y-y , CPALL(TP92) ปัจจัยบวกของหุ้นเข้ามาต่อเนื่องทั้ง Banking Agent และกำลังซื้อฟื้น

หุ้น Laggard พื้นฐานดี ที่น่าสนใจ 1) SC, GOLD 2) TMB 3) CK, TOA, PYLON

ราคาน้ำมันดิบเช้านี้ 79.12เหรียญฯ หนุน PTT, PTTEP, PTTGC เด่น

รัฐเร่งแผนประมูล TOR 4 โครงการเร่งด่วน (มาบตาพุดเฟส 3, แหลมฉบังเฟส 3, สนามบินอู่ตะเภา, ศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา) ให้ทัน ต.ค. นี้ มูลค่า 3.75 แสนลบ. เพิ่มเติมจากโครงการเชื่อม 3 สนามบิน (ยื่นซอง 12 พ.ย.) แนะนำ  AMATA, STEC และ Laggard CK, ITD, ROJNA

ราคาน้ำมันขึ้นเหนือ 80เหรียญฯ หนุนการปรับประมาณการ PTT, PTTEP, PTTGC

กลุ่ม รฟฟ เด่นการเติบโต เน้น GULF(เก็งเข้า MSCI พย นี้) BGRIM PSTC BWG

Health Update ช่วง Seasonal จะหนุนกลุ่ม รพ Outperform ต่อเนื่อง เน้น BH(TP235) และ BDMS(TP31.2)

Portfolio Top Picks SEP 2018 แนะนำ AMATA, AOT, BH, CPALL, TMB, TOA, AMANAH

Road to Election 2019 : PTT, PTTEP,  BBL, KBANK, TMB,  CPALL, ROBINS, ADVANC,  STEC, AMATA, SC, GOLD, PLANB

2H18 Theme Domestic : Election play when oil surge

 

Best Picks 2H18 : PTT, IVL, BBL, KBANK, CPALL, CK, STEC, SEAFCO, PYLON, AMATA, GOLD

1.  Index Driver : PTT, BBL, KBANK, CPALL, PTTEP, IVL

2.  Government Spending : STEC, CK, PYLON, SEAFCO, AMATA, ROJNA, SCC

3.  Property : GOLD, SC

4.  Tourism & Transport : ERW, BTS

5.  Global Play : IVL, PTL

6.  ICT : ADVANC

 

 

PTT (TP19F 38.5*):  Support 53.0/52.5 Resistant 55/56

 

Earnings Outlook: ประเมินกำไรปีนี้ +14% จากธุรกิจน้ำมัน (ต้นน้ำ) ที่ราคาน้ำมันเป็นขาขึ้น จากทั้งด้าน Demand เพิ่ม และปัญหา Supply หนุนราคาเป็นขาขึ้น และช่วยชดเชยธุรกิจโรงกลั่น - ปิโตรที่ยังอ่อนตัว ระยะสั้นคาด 3Q18F กลุ่มโรงกลั่น-อะโรเมติกส์ฟื้นตัว GSP-Olefins ทรงตัว

Valuation: Upside เปิดกว้าง 17.6% และมีความคืบหน้าการนำ PTTOR เข้าตลาดฯ ในช่วงกลางปี 2019F

Catalyst: ราคาน้ำมันดิบ BRENT ทำจุดสูงสุดใหม่ของปี +3.29% สู่ $81.39 /bbl เป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานนำตลาด PTT เด่น

BH (TP19F 230*):  Support 181.5/179 Resistant 186/188.5

 

Earnings Outlook: ชื่อเสียงของ รพ.ที่จะดึงดูดทั้งผู้ป่วยและแพทย์มือดี ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่รักษาความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และยังมีราคาถูกกว่าการรักษาในต่างประเทศ โดยคาดกำไรสุทธิ 3Q18F ที่ 1,100 ลบ. +4%y-y และ +13%q-q เป็นไตรมาสดีสุดของปี ตามทิศทางรายได้จากการรักษากลับมาเติบโตสูง q-q ตามการฟื้นตัวของผู้ใช้บริการชาวไทยและต่างชาติ

Valuation: มองเป็นจุดเข้าซื้อที่ดีจาก Valuation ที่ถูกสุดในกลุ่มฯ ซื้อขายที่ PER19F ราว 30 เท่า ใกล้เคียง -1.0SD และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 35 เท่า ในขณะที่อัตรากำไร (Gross margin, EBITDA margin) เด่นสุดในกลุ่ม รพ. จากการเน้นรักษาโรครุนแรง และมีการบริหารต้นทุนดำเนินงานอย่างระมัดระวัง

Catalyst: ยอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางในไทย (ซึ่งในส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 12% ของ BH) เพิ่มขึ้นในเดือน ก.ค.-ก.ย. 2018 ราว 3.5%y-y สู่ 17,980 ล้านบาท + เข้าช่วงฤดูกาล รพ.หนุนผลประกอบการ 3Q18F เป็นไตรมาสดีสุดของปี

TMB (TP19F 2.5*): Support 2.32/2.26 Resistant 2.5/2.56

 

Earnings Outlook: เราคาดกำไรสุทธิผ่านจุดต่ำสุดแล้ว โดย 3Q18F คาดทยอยฟื้นตัวอยู่ที่ 2.15 พันลบ. (+2% y-y, +6% q-q) จากสินเชื่อฟื้นตัว, สำรองทรงตัว และคาดกำไร 4Q18F ยังเป็นภาพเติบโต y-y, q-q และต่อเนื่องใน 2019F ที่ +11% y-y นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยี จึงพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิตัลของกลุ่มธนาคาร

Valuation: ราคาหุ้น Laggard กลุ่ม Bank โดย YTD -22% VS กลุ่ม -2.7%  ตอบรับการลดประมาณการของตลาดก่อนหน้านี้ไปแล้ว และยัง Under-owned อยู่มาก โดยราคาปัจจุบันเป็นโซนซื้อที่ได้เปรียบ PER19F 11 เท่า และ PBV19F เพียง 1.1 เท่า โดยหลังปี 2010 เป็นต้นมา PBV Zone 1-1.1เท่า คือจุดซื้อในเชิงพื้นฐานที่ดีที่สุดของ TMB เกิดขึ้น 4 ครั้งในช่วง 8 ปีหลัง และมักให้ผลตอบแทนที่ดีจากการซื้อหุ้นที่ Zone นี้

Catalyst: ยอดสินเชื่อแก่ลูกหนี้สุทธิเดือนส.ค.18 เติบโตในอัตราเร่งที่สุดในปีนี้ +1.5% m-m ฟื้นตัวโดดเด่น เป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการใน 2H18 + สถิติกลุ่ม Bank มัก Outperform ก่อนเลือกตั้ง 6-9 เดือน + ดอกเบี้ยช่วงถัดไปจะกลับทิศสู่ขาขึ้นบวกต่อ Bank

Note: TP (Bloomberg Consensus) , *TP(CNS), **TP(Nomura)