ตลาดหุ้นไทยวันนี้ : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในช่วงท้ายตลาดโดยมีจากแรงขายของทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากเรื่องจีนขอยกเลิกการเจรจาค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้นักลงทุนกลับมากังวลกันอีกรอบ สำหรับวันนี้คาดนักลงทุนรอฟังผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินสหรัฐฯ หรือ FOMC ในวันพุธที่ 26 ก.ย.61 คาดขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ติดตาม FOMC ต่อว่ามีมุมมองต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีซึ่งจะมีผลต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ หรือ Fund Flow ทั่วโลกรวมถึงไทยอย่างไร ล่าสุดผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแรง โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ปรับตัวทำจุดสูงสุด 2.842% นับตั้งแต่ปี 2551 หลังจากนาย Mario Draghi ประธานธนาคารกลางสหภาพยุโรปเตือนว่าอัตราเงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวขึ้น ส่งผลลบต่อตลาดหุ้น ทำให้ตลาดต่างประเทศปรับตัวลดลงทั้งตลาดสหรัฐฯ และในสหภาพยุโรป คาดตลาดสัปดาห์นี้ทีโอกาสปรับฐานแต่เรายังมองว่า SET Index ยังมีแรงหนุนจากปัจจัยการเลือกตั้งที่ชัดเจนช่วยหนุนมองกรอบการเคลื่อนไหว วันนี้ที่ 1,730-1,760  จุด และแนะนำให้นักลงทุนรอซื้อที่แนวรับแรก 1,730 และแนวรับถัดไป 1,700 จุด เราชอบหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวและมีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีอย่าง TTA ซึ่งเราเลือกเป็น Pick of the day หุ้นที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้า เช่น CPF, TU รวมถึงหุ้นที่มีรายได้สม่ำเสมอและมีกระแสเงินสดแข็งแกร่งอย่างกลุ่มโรงไฟฟ้า อย่าง BGRIM, GPSC หุ้นแนะนำประจำสัปดาห์ ได้แก่ SCC, CPF, BGRIM, GPSC  หุ้นแนะนำประจำวันนี้ได้แก่ TTA, TU, GPSC

 

Stock     Comment 

TTA      Pick of the day

TU          (ปิด 17.70 บาท; ซื้อ; AWS TP 20.00 บาท) ธุรกิจหลักของ TU มีแนวโน้มฟื้นตัวจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่าที่ทรงตัวในระดับต่ำช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นกำไรขั้นต้นในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น  

GPSC    (ปิด 68.50 บาท; ซื้อ; AWS TP 73.00 บาท) รายได้สม่ำเสมอและมีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง มี Upside Risk จากการเข้าซื้อ GLOW Energy

 

           ดัชนีค่าระวางเรือเทกองเริ่มกลับทิศเป็นบวกส่งผลดีต่อธุรกิจเรือเทกองซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นน่าจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันซึ่งเพิ่มความต้องการด้านการให้บริการใต้ทะเลให้ขยายตัวมากขึ้นด้วยเช่นกัน คงประมาณการกำไรสุทธิในปี 2561 และ 2562 ที่ 949 ล้าน บาทและ 1,631 ล้านบาท เติบโต 61% และ 72% ตามลำดับ คงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 11.00 บาทต่อหุ้น อิง PBV 1.0 เท่า จากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ราคาหุ้นที่ยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (PBV 0.6 เท่า) และโอกาสฟื้นตัวจากธุรกิจเรือเทกอง รวมถึงธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง

           Price Pattern ของ TTA มีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Sell Signal แต่ Price Pattern ของ TTA ได้เริ่มกลับมาเกิดความแข็งแกร่งในระยะสั้นจากการเกิด Daily Buy Signal โดย Price Pattern ของ TTA จะมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหากปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 7.20 บาท เพราะจะทำให้กลับมาเกิดความแข็งแกร่งในระยะกลางจากการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่ เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ TTA มีเป้าหมายแรกอยู่ที่ 10.40 บาท และมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 12.90 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ TTA มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 6.85 บาท  (Resistance: 7.15, 7.25, 7.30; Support: 7.05, 7.00, 6.90)

 

 

มูลค่าการค้าชายแดนไทย 8 เดือนแรกปี 2561 เพิ่มขึ้น 6.51% YoY อยู่ที่ 9.22 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งหนุนโดยอุปสงค์สินค้าไทยที่เพิ่มขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน กรมการค้าต่างประเทศคาดตัวเลขเป้าทั้งปีที่ 1.5 ล้านล้านบาท เติบโต 15% YoY (บางกอกโพสต์/ไทยโพสต์) ความเห็น: เราคาดมูลค่าการค้าชายแดนที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้อุปสงค์รถบรรทุกเพิ่มสูงขึ้นตามมาด้วย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการเช่าซื้อรถบรรทุก เช่น THANI (ราคาปิด 8.85 บาท; HOLD; AWS TP 9.20 บาท) และ ASK (ราคาปิด 23.60 บาท; NA; IAA Consensus 25.20 บาท)

เปิดประมูลเอราวัณ-บงกช ในวันที่ 25 ก.ย. 61  กระทรวงพลังงานจะเปิดให้ผู้ผ่านคุณสมบัติและหลักเกณฑ์มีสิทธิ์เข้าร่วมประมูลการสำรวจและผลิตแหล่งปิโตรเลียมระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/2561 (แหล่งเอราวัณ) ที่จะหมดอายุสัมปทานปี 2565 และ G2/2561 (แหล่งบงกช) หมดอายุสัมปทานในปี 2566 (แนวหน้า) ความเห็น: PTTEP (ปิด 154.50 บาท; ถือ; AWS TP 145.00 บาท) เป็นตัวเก็งผู้ชนะการประมูล โดย Outlook ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 คาดว่ากำไรทรงตัวหรือดีขึ้นเกิดจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น จากการรับรู้สัดส่วนลงทุนแหล่งบงกชเพิ่มอีก 22.22% เราแนะนำเพียงถือ PTTEP ราคาเป้าหมาย 145 บาท

มูลค่าการออกพันธบัตรของบริษัทจดทะเบียน YTD คาดว่าจะสูงถึง 7 แสนล้านบาท โดยยอดมูลค่าคงค้างรวมของตราสารหนี้ ณ วันที่ 21 กันยายน มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 13 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยตราสารหนี้ภาครัฐที่ 8.8 ล้านล้านบาท หุ้นกู้ 3.2 ล้านล้านบาท และพันธบัตรต่างประเทศอีก 93.34 พันล้านบาท (Bangkok Post) ความเห็น: เราคาดการณ์แนวโน้มของการออกพันธบัตรระยะยาวว่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยอ้างอิงจากจำนวนการออกพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ต้องการล็อคต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายในระยะยาว

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดัชนี Dow Jones ปิดตลาด 181.45 จุดที่ 26,562.05 จุดและลดลงเกือบ 200 จุด ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.4% ปิดที่ 2,919.37 จุด และดัชนี Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.1% เป็น 7,993.25 จุด หุ้นเริ่มปรับลดลงหลังมีรายงานว่ารองอัยการสูงสุด Rod Rosenstein กำลังจะลาออกหรือถูกไล่ออก ท่ามกลางรายงานข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างกัน นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังอยู่ในภาวะกดดันจากข่าวสหรัฐฯ และจีนยกเลิกการเจรจาทางการค้าที่กำหนดไว้ในสัปดาห์นี้ ประกอบกับผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีสูงขึ้นหลังจากที่ Draghi เตือนถึงอัตราเงินเฟ้อที่แข็งแกร่งขึ้น โดยนักลงทุนรอฟังผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินสหรัฐฯ หรือ FOMC ในวันพุธที่ 26 ก.ย.61 

 

ราคาน้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งปิดที่ 81.39 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลหรือเพิ่มขึ้น 3.29% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 57 และน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลาร์หรือ 1.8% ปิดที่ 72.08 ดอลลาร์ซึ่งเป็นระดับที่ดีที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 61. เนื่องจากกลุ่ม OPEC ส่งสัญญาณว่าจะไม่เพิ่มกำลังการผลิตทันที แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะเรียกร้องให้เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อช่วยลดราคาน้ำมันให้ต่ำลงเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานตึงตัวในตลาดน้ำมัน เนื่องจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่ออิหร่านจะลดอุปทานประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันในขณะที่โอเปกจะเพิ่มกำลังการผลิตเพียง 500,000 บาร์เรลต่อวัน