สะสมหุ้น Domestic Play// เก็งกำไรหุ้น Global

 

 

  ราคาปิด 54.00 บาท

  ราคาเหมาะสม 59.50 บาท

          เรามองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานจะช่วยหนุนตลาด หลังราคาน้ำมันดิบ NYMEX เมื่อคืนนี้ +1.8% dod ปิดที่ US$72.08/barrel ทำระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน พ.ย.2557 หลังผลการประชุม OPEC กับนอกกลุ่มโอเปกสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาส่งสัญญาณไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน

          นอกจากนี้ PTT มีปัจจัยบวกรออยู่ในสัปดาห์นี้เงินปันผลงวด 1H61 คาดหุ้นละ 0.90 บาท คิดเป็น Yield +1.7%

 

  ราคาปิด 74.75 บาท

  ราคาเหมาะสม 80.00 บาท

          KKP รายงานสินเชื่อเดือนส.ค. +1.6% MoM ดีกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ +0.2% MoM และ YTD สินเชื่อเติบโต +13.1% ขยายตัวสูงสุดในกลุ่มธนาคาร vs ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม +2.6%

          และ KKP มีปัจจัยบวกรออยู่ใน 4Q61 จากรายได้ค่าธรรมเนียม 2 ดีลใหญ่ ได้แก่ (1) Thailand Future Fund (2) หุ้น IPO ของ OSP ซึ่งเป็น Upside ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ นอกจากนั้นเงินปันผลงวด 2H61 คาดหุ้นละ 4.00 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง  5.3%

 

  ราคาปิด 59.00 บาท

  ราคาเหมาะสม 72.00 บาท

          ราคาหุ้นวานนี้ปรับตัวลง -2.5% จากแรงขายทำกำไร และถูกกดดันจากบรรยากาศการลงทุน (1) สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ และ (2) รอการประชุมเฟดในวันที่ 26 ก.ย. 

          ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงเป็นโอกาสของการสะสม ต่อประเด็นผลการดำเนินงาน 3Q61 คาดโต QoQ นอกจากนี้ธปท.ปรับการบริโภคภาคเอกชนปีนี้ขึ้นเป็น 4.2% จาก 3.7% เป็นสัญญาณบวกต่อกลุ่มค้าปลีก โดยเราคาดกำไรปกติปีนี้ของ BJC เติบโต +30% YoY เป็น 6,796 ล้านบาท vs CPALL ที่กำไรเติบโตเพียง +4% YoY

 

  ราคาปิด 7.00 บาท

  แนวต้านทางเทคนิค 7.30 บาท 

          ภาพทางเทคนิคจะเป็นบวกหากปรับตัวผ่าน 7.10 บาทได้ มีโอกาสขึ้นทดสอบ 7.30 บาทเป็นแนวต้านถัดไป แนวรับ 6.90 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 6.75 บาท 

          นอกจากนั้น หุ้นกลุ่มโรงกลั่นมี Sentiment บวก หลังค่าการกลั่นกลับมายืนเหนือ US$6.00/barrel อีกครั้ง (+2.2% dod) และคาดจะมี Stock gain ใน 3Q61 หลังราคาน้ำมันดิบดูไบล่าสุดปิดที่ US$79.14/barrel เพิ่มขึ้น 3.1% QTD

 

 

          เรามีมุมมองเป็น "กลาง" ต่อทิศทางการลงทุนในสัปดาห์นี้ หลัง SET INDEX ปรับขึ้นอย่างโดดเด่น 3.55% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากกรอบเวลาการเลือกตั้งที่ชัดเจน และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าจากแรงกดดันทางการเมืองในสหรัฐฯ ที่มีความขัดแย้งอยู่พอสมควร เงินทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยราว 2.2 พันล้านบาทนับตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ด้วยบรรยากาศการลงทุนรอบสัปดาห์นี้ขาดแรงหนุน นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างรอดู 1) ผลการประชุมเฟดวันที่ 26 ก.ย. 2) การประชุมกพช. กับกรณี GPSC เข้าซื้อกิจการ GLOW วันที่ 27 ก.ย. นี้ 3) การประมูลแหล่งปิโตรเลียมที่อ่าวไทยวันนี้ และ 4) การประชุมบอร์ด PTT ต่อการพิจารณาเงินปันผลงวด 1H61 ภายในสัปดาห์นี้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ NYMEX / BRENT ปิดบวกเด่น คาดผลักดันให้ SET INDEX วันนี้มีโอกาสปิดยืนเหนือ 1,750 จุดได้อีกครั้ง แต่ Upside gain ก็ยังจำกัดด้วยเช่นกัน 

          นอกจากนี้มูลค่า Block Trade ทั้งระบบเพิ่มขึ้นตลอด 3 วันทำการราว 2.6 พันล้านบาท ณ วานนี้มูลค่ารวมแตะระดับ 2.87 หมื่นล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดย OI ของ PTT เพิ่มขึ้นถึง 7 วันทำการ รวม 4,480 สัญญา เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยจำกัด Downside risk ของ SET INDEX ในช่วงสั้นนี้เช่นกัน 

          ปัจจัยสำคัญวันนี้ ติดตามการประชุม ครม. อาจมีการพิจารณาและอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รออยู่ เช่นรถไฟฟ้าสายสีส้ม - ม่วง ส่วนต่อขยาย / มอเตอร์เวย์ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นบวกต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง

          สำหรับกลยุทธ์ในช่วงนี้ เราแนะนำให้นักลงทุน "กลับมาสะสมหุ้นกลุ่ม Domestic Play" ที่คาดว่าผลการดำเนินงานใน 3Q61 จะเติบโตเด่น หรือเข้าสู่ฤดูกาลไฮซีซั่น เช่นกลุ่มธนาคาร / กลุ่มค้าปลีก / กลุ่มอสังหาฯ / กลุ่มโรงพยาบาล เช่น SCB / BBL/ KKP/ BJC/ LPN / PSH / BDMS / BCH เป็นต้น ส่วนกลุ่ม Global Play ที่ได้อานิสงค์เชิงบวกทั้งราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่นนั้น เรามองว่าเป็นโอกาสของการ "เก็งกำไรรอบสั้น" เท่านั้น

 

          1. น้ำมันดิบ NYMEX ทำระดับสูงสุดตั้งแต่ พ.ย.2557 เรามองบวกต่อ PTT

          2. มูลค่าการซื้อขายวานนี้ลดลงเหลือ 4.4 หมื่นล้านบาท สะท้อนภาพรวมตลาดเริ่มชะลอตัว นักลงทุนควรปรับพอร์ตอย่างไร 

          3. ติดตามการประชุมเฟดในวันที่ 26 ก.ย. ดอกเบี้ยขึ้นแน่ แต่มีประเด็นอะไรต้องติดตามเพิ่มเติม?

          4. แนวรับ SET INDEX อยู่บริเวณใด? เป็นจุดให้นักลงทุนสะสมหุ้นเพิ่ม หลังเราแนะนำขายทำกำไรไปแล้วที่ 1760 จุด +/-

 

          วานนี้ SET INDEX ยังคงแกว่งตัวในกรอบบริเวณ 1745-1765 จุด โดยปิดที่ 1749.42 จุด ลดลง 6.70 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายเหลือเพียง 4.4 หมื่นล้านบาท

          กระแสเงินทุน : นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นวันที่ 2 อีกราว 717 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิสะสมราว 1.3 พันล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิถึง 2.2 พันล้านบาท จากวันก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 653 ล้านบาท ด้านตลาด SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Long สุทธิวันแรกในรอบ 5 วันทำการราว 1.2 พันสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Long สุทธิสะสมราว 5.2 หมื่นสัญญา โดย S50U18 มีพรีเมี่ยม จาก SET50 Index ราว 1.4 จุด เทียบกับวันก่อนหน้าที่ Discount ราว 0.7 จุด เช่นเดียวกับกลุ่มสถาบันในประเทศและบัญชี บล. มีสถานะ Long สุทธิเล็กน้อยราว 149 สัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Short สุทธิสะสมคงเหลือ 2.3 หมื่นสัญญา

          ตลาดตราสารหนี้ : นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 อีกราว 1.2 พันล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิสะสม 2.2 หมื่นล้านบาท

 

 

ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เผยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหภาพยุโรป (EU) มีแนวโน้มขยายตัวแข็งแกร่ง จากตลาดแรงงานที่ตึงตัว ผลักดันให้ค่าแรงสูงขึ้น และกรณี Brexit จะมีผลกระทบต่อ EU ไม่มากนัก

สหรัฐฯและเกาหลีใต้ ลงนามในข้อตกลงด้านการค้าระหว่างกัน มุ่งเน้นที่สินค้ายานยนต์เป็นหลัก คาดมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2562 เป็นต้นไป

ญี่ปุ่นเผยมีแผนลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯจะไม่เรียกเก็บภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ของญี่ปุ่นในระดับสูง

นายกรัฐมนตรีอังกฤษเตรียมเข้าเจรจาทางการค้าหลังจากถอนตัวออกจากสมาชิก EU กับสหรัฐฯ ในวันพุธนี้

การรถไฟแห่งประเทศไทยเผยจะประกาศรายชื่อผู้ชนะโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ภายในเดือนม.ค. 2562 และคาดเสนอโครงการรถไฟทางคู่เฟส 2 เข้าสู่ครม. ได้ภายในปีนี้ และเปิดประมูลได้ในต้นปี 2562

ติดตามการประมูลแหล่งปิโตรเลียมบงกชและเอราวัณ วันที่ 25 ก.ย.

ติดตามการประชุมเฟด วันที่ 25 - 26 ก.ย.

ติดตามการรายงาน GDP 2Q61 ครั้งที่ 3 ของสหรัฐฯ ตลาดคาดขยายตัว 4.3% วันที่ 27 ก.ย.

กกต. เชิญพรรคการเมืองหารือ วันที่ 28 ก.ย.

ติดตามการรายงานเงินเฟ้อ PCE เดือน ส.ค. ของสหรัฐฯ ตลาดคาดขยายตัว 2.0% YoY , การรายงาน GDP 2Q61 ของอังกฤษ และการรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยของธปท. วันที่ 28 ก.ย.