- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 21 September 2018 17:14
- Hits: 3482
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะเข้าสู่การพักฐาน หลังจากปรับขึ้นเร็วและแรงกว่าคาด ทำให้มี PER 16 เท่า ภายใต้ EPS ตลาดที่ปรับลดลงเป็น 108 บาท ปี 2561 และมี PEG (PER/EPS Growth) สูงสุด ในเอเชีย ขณะที่ fund flow ยังเป็นการซื้อสลับขาย หลังขายหุ้นไทยมากว่า 2 แสนล้านบาทในปีนี้ กลยุทธ์ยังเลือก Domestic Play ที่ยังมี upside (CPALL, BJC, SEAFCO, MACO) Top picks DTAC(FV@B62), CPALL(FV@B80) และเพิ่ม TPIPP([email protected]) หุ้นพลังงานทางเลือกที่มีการเติบโตโดดเด่น แต่ราคาหุ้นยัง Laggard
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทยวานนี้ …. ดัชนีย่อตัวท้ายตลาดฯ
วานนี้ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดดีดขึ้น 8 จุด ก่อนจะแรงขายทำกำไรออกมา กดดันดัชนีย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,752.11 จุด ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 2.31 จุด หรือ 0.13% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 6.76 หมื่นล้านบาท ดัชนีฯเริ่มชะลอความร้อนแรงลงหลังซึมซับประเด็นบวกภายในประเทศไประดับหนึ่งแล้ว โดยมีแรงขายทำกำไรหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น ธ.พ. และค้าปลีก มีแรงขายทำกำไรกดดันราคาหุ้นปรับตัวลดลงมีเพียงกลุ่มพลังงานที่ช่วยประคองตลาดฯ นำโดย PTT +1.9%, PTTEP +0.7% หลัง EIA รายงานตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบลดลง รวมถึงหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น (TOP ESSO IRPC) ส่วนรายหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรง SUPER +14.9% และ BEAUTY +2.6%
แนวโน้ม SET Index วันนี้ คาดดัชนีน่าจะเข้าสู่การพักฐาน หลังจากที่ฟื้นตัวติดต่อกันหลายวัน และแรงซื้อส่วนใหญ่ยังเป็นกองทุนในประเทศ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมี P/E 16 เท่า และ PEG แพงสุดในภูมิภาค
สหรัฐยังเดินหน้ากีดกันการค้า vs จีนลดภาษีนำเข้าแหล่งวัตถุดิบใหม่
หลังจากการตอบโต้การค้าสหรัฐ-จีน มาถึงรอบ 3 และสหรัฐมีโอกาสขึ้นภาษีนำเข้าจีนรอบ 4 แต่จีนน่าจะมีข้อจำกัดในการตอบโต้ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นจีนมีการปรับตัว คือ การเร่งหาแหล่งนำเข้าวัตถุดิบใหม่พร้อมลดภาษีนำเข้าเพื่อลดผลกระทบจากอุปสรรคในการนำเข้าจากสหรัฐลดลง (ประเทศคู่ค้าหลักของจีน อันดับ 1 คือ สหรัฐ รองลงมาคือ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ฮ่องกง, เยอรมนี, ออสเตรเลีย เป็นต้น) ล่าสุดเมื่อวานนี้จีนประกาศจะลดภาษีนำเข้ากับคู่ค้าทั่วโลก ครั้งที่ 3 ของปีนี้ เริ่มจาก ต.ค. ยกเว้นสหรัฐ (ยังไม่กำหนดรายละเอียด) ในปีนี้จีนได้ประกาศลดภาษีนำเข้าทั่วโลกคือครั้งแรก 22 พ.ค.2561 ในกลุ่มรถยนต์เหลือ 15% จากเดิม 25% และลดชิ้นส่วนยานยนต์ เหลือ 6% จากเดิม 10% และลดครั้งที่ 2 กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค มีผลบังคับใช้ 1 ก.ค. รายละเอียดดังตาราง
ขณะที่สหรัฐยังคงเดินหน้ากีดกันการค้ากับทุกประเทศทั่วโลก และอาจขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนรอบ 4 อีก 2.67 แสนล้านเหรียญฯ ซึ่งหากขึ้นครบทั้งหมดเท่ากับที่วงเงินนำเข้าสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีนทั้งหมดในปี 2560 จำนวน 5.17 แสนล้านเหรียญฯ ซึ่งเชื่อว่ากระทบต่อผู้ผลิตเต็มที่เนื่องจากกระทบตั้งแต่สินค้าขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย ส่งผลให้ราคาสินค้าที่เพิ่มกระทบผู้บริโภคโดยตรง น่าจะกดดันเงินเฟ้อสหรัฐ และนำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่เร็วขึ้น เชื่อว่าผลกระทบจะชัดเจนในปี 2562
ตลาดให้น้ำหนักต่อสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. 0.25%
สัปดาห์นี้ ธนาคารกลางเอเชีย 2 แห่ง ยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อ คือ ญี่ปุ่น (BOJ) คงดอกเบี้ยฯ ที่ -0.1% และคง QQE ที่ 80 ล้านล้านเยนต่อปี เพราะเงินเฟ้อยังต่ำ และรองรับผลกระทบจากการขึ้น Sale tax เป็น 10% จาก 8% ที่จะมีผลในปีหน้า และไทย ผลการประชุม กนง. ยังคงดอกเบี้ยที่ 1.5% แต่เริ่มส่งสัญญาณถึงนโยบายการเงินผ่อนคลายที่ใกล้สิ้นสุด โดย ASPS คาด กนง. มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งราว 0.25% ในช่วงปลายปี เนื่องจากเงินเฟ้อ เดือน ส.ค. ขยายตัว 1.62%yoy สูงกว่าดอกเบี้ยนโยบาย
และสัปดาห์หน้า 25-26 ก.ย. ประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ตลาดคาด Fed น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 2.25% สะท้อนจากผลสำรวจของ Bloomberg คาดโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ราว 99% และน่าจะขึ้นอีก 1 ครั้งในรอบ ธ.ค. ส่งผลให้ดอกเบี้ย ณ ปลายปี 2561 อยู่ที่ราว 2.5% ส่วนในปี 2562 - 2563 Fed มีแผนจะขึ้นดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง และ 2 ครั้ง ส่งผลให้ดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 3.25% และ 3.75% ตามลำดับ แต่เชื่อว่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้ถึงปี 2562 น่าจะเริ่มชะลอตัวเพราะผลกระทบจากสงครามการค้า น่าจะกดดันเศรษฐกิจสหรัฐปี 2562 เริ่มชะลอตัวลงกว่าคาด
ต่างชาติซื้อหุ้นไทยในอัตราที่ลดลง แต่ซื้อติดต่อกันถึง 6 วัน
วานนี้ดัชนีดาวโจนส์ทำจุดสูงสุดใหม่ และตลาดหุ้นในภูมิภาคส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันต่างชาติยังซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 2 ด้วยมูลค่า 393 ล้านเหรียญ และเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียวที่ถูกขายสุทธิ 7 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 16) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลีออีก 4 ประเทศ ต่างชาติซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 239 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยไต้หวัน 143 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3), อินโดนีเซีย 15 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) และไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิเล็กน้อย 3 ล้านเหรียญ หรือ 97 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6) ต่างกับสถาบันในประเทศที่สลับมาขายสุทธิ 386 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน)
อย่างไรก็ตามสัปดาห์หน้ามีโอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยสูง หนุนให้ Bond Yield 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมายืนเหนือ 3% อีกครั้ง ส่วน Bond Yield 10 ปีของไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยล่าสุดอยู่ที่ 2.85% แม้ยังน้อยกว่าสหรัฐฯ แต่การปรับตัวที่ขึ้นมาเร็วจูงใจให้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิบ้างในวานนี้ราว 4.0 พันล้านบาท
หุ้นปรับฐาน เลือกหุ้นโรงไฟฟ้าที่มี Growth BPP, TPIPP
โอกาสการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หรือ IPP และ ขนาดเล็ก (SPP) ใหม่ๆ ดูจะน้อยลง เพราะ อุตสาหกรรมอยู่ภาวะ oversupply ขณะที่การเข้าแข่งขันของผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนโครงการ (IRR) ลดลงเหลือ 10% หรือต่ำกว่า เทียบกับอดีตที่เคยอยู่สูงถึง 15-20% ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าประเภท IPP หรือ SPP ที่มี Backlog รออยู่แล้ว ยังมีแนวโน้มธุรกิจที่เติบโตต่อไปได้ ดังจะเห็นได้จากราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับขึ้นได้ต่อเนื่องในระยะนี้ ในกลุ่มนี้ชอบ BGRIM(FV@B32) และ BPP (FV@B30)
โดยเฉพาะ BPP (FV@B30) ราคาหุ้นยัง laggard ขณะที่แนวโน้มกำไรมีโอกาสเติบโตทำ new high ในช่วง 2 ปีข้างหน้า จากการทยอยรับรู้โครงการต่างๆ ในมือกว่า 669 Equity MW รอทยอย COD ในช่วงปี 2561-66 โดยคาดกำไรสุทธิปี 2561-62 จะเติบโต 16.3%yoy และ 23.6%yoy ตามลำดับ นอกจากนี้ BPP ยังอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการพลังงานทดแทนใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ถือเป็น upside ส่วนเพิ่มในอนาคต ราคาปัจจุบันมี upside 16.5% และมี Div. Yield เฉลี่ยราว 3%
ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน การเติบโตเริ่มน้อยลงจากโอกาสการขยายกำลังการผลิตที่ลดลง ทำให้มีการลดระดับ PER ลงจากที่เคยซื้อขายกันบน PER สูงๆ ทั้งนี้แม้กำไรปกติกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ฝ่ายวิจัยศึกษา (GUNKUL, EA, BCPG, PSTC, DEMCO และ TPIPP) ในปี 2561 คาดจะเติบโตกว่า 39.6 %yoy และ เติบโต 44% ในปี 2562 แต่เกิดจาก TPIPP ส่วนระยะสั้นคาดกำไรปกติกลุ่มฯงวด 3Q61 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากงวด 2Q61 และเริ่มทรงตัวในงวด 4Q61 ขณะที่ราคาหุ้นรายตัวในกลุ่มฯ ได้ตอบรับกับปัจจัยกดดันไประดับหนึ่งแล้ว ทำให้ราคาเริ่มมี upside เน้นเลือกหุ้นรายตัว ชอบ TPIPP ([email protected]) มีโอกาสที่กำไรจะทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสในช่วงที่เหลือของปี รวมถึงแนวโน้มกำไรปกติปี 2561-2562 คาดจะทำ new high จากการทยอยรับผลบวกโครงการโรงไฟฟ้าในมือที่ผลิตเชิงพาณิชย์ อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่ให้ปันผลสม่ำเสมอทุกไตรมาส โดยมี Div. Yield อยู่ในระดับที่ดี เฉลี่ยราว 5% p.a.
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
โยธิน ภูคงนิล ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
เจิดจรัส แก้วเกื้อ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์
OO14096