- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 19 September 2018 17:08
- Hits: 3854
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“จีนเก็บอัตราภาษีต่ำกว่าคาด คลายกังวลสงครามการค้า”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : DCC (จากถือเป็นซื้อ)
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ทะยาน +26.03 จุด ปิดที่ 1744.42 จุด ดีกว่าคาดมาก ถือว่าปรับขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นเป็น 79.7 พันล้านบาท คาดว่ามีเงินไหลเข้า เงินบาทแข็งค่า การเลือกตั้งมีความชัดเจนขึ้น และอาจมีการทำ Window Dressing ปิดงวด 9M61 แม้ปัจจัยต่างประเทศเป็นลบเพิ่มขึ้นจากการที่ทรัมป์เก็บภาษีจากจีนเพิ่ม โดยจีนอาจไม่ร่วมเจรจาแล้วและอาจโต้ตอบกลับ ขณะที่มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนนี้ หุ้นกลุ่มหลักปรับขึ้นถ้วนหน้า ด้านผู้ขายสุทธิรายเดียวเป็นรายย่อยสูงถึง 7.0 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 4.8 พันล้านบาท ต่างชาติ 1.5 พันล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ 0.7 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้นปัจจัยต่างประเทศเป็นบวก จากการที่จีนตอบโต้สหรัฐ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 5-10% วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ มีผล 24 ก.ย.61 ตลาดคลายความกังวล เพราะทั้งสหรัฐและจีนจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าคาด ดัชนีความกลัว (VIX) ลดลง ดาวโจนส์และน้ำมันปรับขึ้น ขณะที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปลายเดือนนี้เป็นที่คาดไว้อยู่แล้ว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี เพิ่มเป็น 3.0556% แล้ว ด้านปัจจัยในประเทศยังดีคือ การเลือกตั้งตามโรดแมป ส่วน กนง.ประชุมพรุ่งนี้ คาดว่ายังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย วานนี้ครม.อนุมัติคืนภาษี VAT ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้บวกเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นเกาหลี แต่ดาวโจนส์ล่วงหน้า +1 จุด (8.18 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับลง สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือ ราคาน้ำมันผันผวน ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง วิกฤติค่าเงิน EM ยังไม่คลี่คลายด้านปัจจัยบวกระยะกลาง-ยาว คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้น และเศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง หนี้ต่างประเทศน้อย ระยะสั้นยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมาเช่นกัน ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1730-1770 จุด ด้าน SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% แนะนำให้ทยอยสะสมได้
Update หุ้นเด่น: CPALL – คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่ ครม.อนุมัติโครงการคืน VAT ให้กับประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค แนวโน้มกำไรงวด 3Q61 โตน้อยคล้ายกับ 2Q61 กดราคาหุ้น ได้รับผลลบจากสินค้าบุหรี่และเกมส์ให้อัตรากำไรต่ำ MAKRO มีค่าใช้จ่ายสูง แต่คาด 4Q61 กำไรจะดีขึ้น ฐานเปรียบเทียบเดียวกัน ซึ่งช่วงนั้นมีการปรับราคาขายสินค้าบุหรี่แล้ว จุดแข็งเป็นผู้นำตลาด มีสาขาจำนวนมาก MAKRO ฟื้นตัว แนะนำ ซื้อ ราคาหุ้นกลับมาถูก ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีแล้ว ด้วยราคาพื้นฐานที่ 89.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวก แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1750-1760-1770 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1730 จุด
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ BBL, SCC, SEAFCO, WORK, BH, CPALL, PTTGC หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ HMPRO, GOLD, PTL หุ้นที่หลุด List - หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit PTT, KBANK, RS, GLOBAL, TTCL, SPALI, CKP
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับขึ้นดี คลายกังวลสงครามการค้าลงบ้าง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,246.96 จุด พุ่งขึ้น 184.84 จุด หรือ +0.71% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.31 จุด เพิ่มขึ้น 15.51 จุด หรือ +0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,956.11 จุด เพิ่มขึ้น 60.32 จุด หรือ +0.76%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากสหรัฐและจีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าในระดับต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีที่พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากรัฐบาลสหรัฐยืนยันว่า ผลิตภัณฑ์สมาร์ทวอทช์จากบริษัทแอปเปิล และบริษัทฟิตบิท ไม่ได้รวมอยู่ในรายการสินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีครั้งล่าสุดนี้
+ ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น สะท้อนโอเปกยังไม่รีบเพิ่มกำลังการผลิต
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 69.85 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 98 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 79.03 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ส่งสัญญาณว่ายังไม่พร้อมที่จะปรับเพิ่มกำลังการผลิต ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5
• ทองคำ : ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.9 ดอลลาร์ หรือ 0.24% ปิดที่ 1,202.9 ดอลลาร์/ออนซ์
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้ทองคำมีความน่าดึงดูดน้อยลง นอกจากนี้ การดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนเทขายทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
+ ตลาดคลายความกังวล หลังจีนตอบโต้สหรัฐ แต่อัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่าคาด
# รัฐบาลจีนได้ออกมาตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตราภาษี 5-10% เป็นวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย. อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีดังกล่าวยังต่ำกว่าระดับ 20% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
# นักวิเคราะห์หลายรายซึ่งรวมถึงนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์สเตทสโตน เวลธ์ กล่าวว่า การที่สหรัฐและจีนต่างก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าครั้งล่าสุดในอัตราที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์นั้น ได้ช่วยบรรเทาความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนยังคงเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่ง ขณะที่ผลประกอบการของภาคเอกชนยังสดใส และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับที่สูงมาก
- ดอลลาร์แข็งค่า คลายกังวลสงครามการค้า
# ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากสหรัฐและจีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าในระดับต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้าท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
-/• คาดกันว่าเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมปลายเดือนนี้
# นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 25-26 ก.ย.นี้ ขณะที่ตลาดการเงินคาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอีกครั้งในการประชุมเดือนธ.ค. หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.และมิ.ย.
•/- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้าน ก.ย.ทรงตัวรายเดือน แต่รายปีเพิ่มขึ้น
# สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านทรงตัวที่ระดับ 67 ในเดือนก.ย.เมื่อเทียบรายเดือน อย่างไรก็ดี หากเทียบเป็นรายปี ดัชนีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น 3 จุด
• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศต่อไป
# ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค., ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2/2561, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนก.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ย.จากมาร์กิต
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
• กนง.ประชุมวันนี้ แต่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ควรติดตามถ้อยแถลง
# ผลกระทบ: แม้มีโอกาสสูงที่ยังไม่ปรับขึ้นครั้ง แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร่งตัวขึ้น ขณะที่กนง.ไทย แม้ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ก็มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในที่สุด โดยมีส่วนหนึ่งที่ต่างประเทศเป็นแรงกดดัน เพียงแต่ ธปท.เองได้ชี้แนวทางว่าจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วหรือไม่ก็ขึ้นกับสถานะสภาพคล่อง NPL และปัจจัยอื่นๆ ของแต่ละธนาคาร ปกติอัตราดอกเบี้ยขึ้นจะไม่ดีกับตลาดหุ้น แต่ขึ้นกับอัตราการปรับขึ้นและความเร็วในการปรับขึ้น แต่หากเศรษฐกิจดีจะมีผลกระทบน้อยลง
+ ครม.อนุมัติการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีรายได้น้อยแล้ว
# ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กับผู้มีรายได้น้อยในการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อสินค้า โดยจะแยกเป็น 3 ส่วน คือจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บไปทั้งหมด 7% นั้น จะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ถือบัตรต้องเสียจริง 1% โดย 5% จะคืนให้กับผู้ถือบัตร โดยจ่ายคืนผ่าน e-money เพื่อนำไปใช้ซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าและร้านที่เข้าร่วมโครงการของรัฐบาล ส่วนอีก 1% จะนำเข้าสมทบในกองทุนการออมแห่งชาติของบุคคลดังกล่าว หรือนำเข้าบัญชีไว้ แต่ทั้งนี้วงเงินคืน VAT จะต้องไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน
# ทั้งนี้ โครงการคืนภาษี VAT ดังกล่าว จะมีระยะเวลาเพียง 6 เดือน คือเริ่มตั้งแต่ 1 พ.ย.61 - 30 เม.ย.62
# ผลกระทบ: เป็นบวกกับกลุ่มพาณิชย์ แต่จะจำกัดเฉพาะซื้อสินค้าในร้านธงฟ้า แต่อย่างน้อยก็ช่วยกระตุ้นกำลังซื่อได้ในระดับหนึ่ง เพราะประชาชนจะมีกำลังจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น สำหรับหลักทรัพย์กลุ่มพาณิชย์ ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและแนะนำ ซื้อคือ CPALL และ HMPRO ด้าน BJC ก็คาดว่าจะได้รับประโยชน์ เพราะบริษัทในกลุ่มคือ BigC มีรับธงฟ้าด้วย
-ประเทศในโซนเอเชีย มีความเสี่ยงจากสินค้าจีนทะลักมาขายแข่ง หลังถูกเก็บภาษีหนักจากสหรัฐ
# อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10%มูลค่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่จะมีผลในวันที่ 24 ก.ย.61 ว่า อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าและการลงทุนของโลกทำให้นักลงทุนต้องวางแผนในการเข้าไปลงทุนให้รอบคอบมากขึ้น รวมทั้งอาจมีผลกระทบจากการที่จะมีสินค้าส่วนเกินจากการถูกใช้มาตรการทางภาษีทั้งของสหรัฐฯ และจีนไหลทะลักเข้ามายังประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งไทย ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์จะคอยเฝ้าระวังสินค้ากลุ่มเสี่ยงที่จะทะลักเข้ามายังไทยต่อไป
+ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ส.ค.61 สูงขึ้น ดีสุดรอบ 8 เดือน ส่งสัญญาณดี
# อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC CONFIDENCE INDEX : TCC-CI ประจำเดือน ส.ค.61 อยู่ที่ระดับ 49.8 ปรับตัวดีขึ้นจาก 48.6 ในเดือน ก.ค.61 โดยดัชนี TCC-CI ในเดือน ส.ค.นี้ ปรับตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือน นับตั้งแต่เริ่มมีการทำสำรวจเมื่อเดือน ม.ค.61 ขณะที่มุมมองต่อดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในอนาคตช่วง 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยอยู่ที่ระดับ 51.9 จากระดับ 51.3 ในเดือน ก.ค.61
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO14007