เน้นหุ้น Laggard // หุ้น Big Cap ถือ

 

          SET INDEX ที่ทะลุผ่าน 1,730 จุด ด้วยหุ้นหลักของแต่ละกลุ่มไปแล้ว เรามองว่าถึงเวลาของหุ้น Laggard ที่ขึ้นมาน้อยกว่าตลาด

          หุ้น TRUE ติดลบ 3.2% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา เทียบกับ SET INDEX +3.2% และ SET ICT +2.3% เราเชื่อว่าราคาหุ้นสะท้อนประเด็นคดีชดเชยค่าเสียหายให้ TOT มูลค่า 9 หมื่นลบ.ไปแล้ว ซึ่งเรามองว่าเรื่องนี้ยังไม่กระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทในช่วงสั้น และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3-4 ปีกว่าคดีจะสิ้นสุดในชั้นศาล

 

          หุ้นรับเหมาฯ ยังคงตอบรับเชิงบวก หลังประกาศใช้กฎหมายลูกเลือกตั้งฯ ในราชกิจจาฯ ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. ส่งผลให้ SET Construction +7.3% ขณะที่ CK ยัง Laggard เพิ่มขึ้นเพียง 5.7% เทียบกับ STEC +9.7%, UNIQ +16.4%, ITD +11.8%

          นอกจากนี้ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่า NAV ของการถือหุ้นใน 3 บริษัทลูกได้แก่ BEM, TTW, CKP เทียบเท่าหุ้นละ 35.80 บาท สะท้อนให้เห็นว่าหุ้น CK ยัง Undervalue และมี Downside จำกัด

 

          เรามองว่ากลุ่มส่งออกอาหารของไทยจะได้ประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ หลังวานนี้สหรัฐฯประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติมหลายรายการ รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารส่งออกจากจีน

          ราคาหุ้นลดลง 11.5% YTD สะท้อนปัจจัยลบของงบ 1H61 ไปแล้ว ขณะที่กำไรจะฟื้นตัวเด่นตั้งแต่ 3Q61 ขณะที่กำไรปี 2562 สดใสเติบโต +31.3% YoY เป็น 5.6 พันล้านบาท

 

          ภาพทางเทคนิคเป็นบวก หากทะลุผ่านแนวต้านที่ 40.00 บาท และมีโอกาสขึ้นทดสอบ 42.00 บาท แนวรับ 39.50 บาท และ Stop loss หากต่ำกว่า 39.00 บาท 

          หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวมีปัจจัยบวกใน 2H61 จากการเข้าสู่ High Season เริ่มตั้งแต่ 3Q61 ฤดูท่องเที่ยวของยุโรป และ 4Q61 กับฤดูท่องเที่ยวของไทย อีกทั้ง MINT ประกาศขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ที่ไม่กำหนดอายุ (Perpetual Bond) ทำให้ความเสี่ยงต่อการเพิ่มทุนสิ้นสุดลง เป็นการปลดล็อกราคาหุ้นเช่นกัน

 

 

          เรามองว่าประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะกระทบต่อภาวการณ์ลงทุนทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการตอบโต้ระหว่างกันก็ตาม ล่าสุดจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ วงเงิน US$6 หมื่นล้าน มีผลตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. เช่นกัน พร้อมลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เหลือ US$1.171 ล้านล้าน ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีทะลุ 3.0% วานนี้ เป็นปัจจัยกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของสหรัฐฯ ทั้งรัฐบาลและภาคเอกชน อีกทั้งสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่การเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 6 พ.ย. นี้ อาจทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องปรับกลยุทธ์ทางเมืองเพื่อดึงเรตติ้งของพรรค Republican กลับมาให้ได้ เพราะหากการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ทำให้พรรค Democrat ครองเสียงข้างมากในสภาสูงแล้ว ย่อมเป็นความเสี่ยงต่อการผลักดันกฎหมายต่างๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์และพรรค Republican ได้  

          ขณะที่ตลาดหุ้นไทยวานนี้ถือว่าร้อนแรงกว่าที่เราประเมิน SET INDEX ทะลุแนว 1,730 จุด ขึ้นทดสอบด่านถัดไปที่ 1,746 จุด ยังไม่ผ่านวานนี้ แต่เรามองว่าวันนี้มีโอกาสขึ้นทดสอบและปิดยืนเหนือ 1,750 จุดได้ไม่ยากจากบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยที่เป็น "กลางถึงบวก" กระแสเงินทุนต่างชาติที่เข้าสะสมหุ้นไทย และมูลค่าจาก Block Trade ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล้วนแล้วเป็นปัจจัยบวกผลักดันให้ SET INDEX รอบนี้มีโอกาสทดสอบด่าน 1770-1780 จุด เทียบเท่าค่าเฉลี่ย 1Yr Forward PER ย้อนหลัง 5 ปี +1SD ที่ 16.4x ซึ่งเรามองว่านักลงทุนควรพิจารณา "ขายทำกำไร" บางส่วนบริเวณเหนือ 1,750 จุดขึ้นไป

          วันนี้ ติดตามการประชุม กนง. (คาดรู้ผลประมาณ 14.00 น.) เรามองว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่จะส่งสัญญาณพร้อมขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ พร้อมจับตาประมาณการเศรษฐกิจปี 2561-2562 ของธปท. 

          กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ เราหันกลับมา "เลือกสะสม/เก็งกำไรหุ้น Laggard" ของกลุ่มหลัก โดยหุ้นหลักที่เน้นสะสมมาก่อนหน้านี้นักลงทุนควร Hold Let Profit Run เพื่อไปรอขายที่บริเวณ 1,750 จุดขึ้นไป

 

1. SET INDEX ทะลุผ่าน 1730 จุด และ Outperform ภูมิภาควันที่ 4 ติดต่อกัน หุ้น Laggard ตัวใดน่าสนใจ

2. ติดตามการประชุม กนง. เรามองอย่างไร และกระทบหุ้นกลุ่มใดบ้าง

3. จีนตอบโต้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมวงเงินสินค้า US$6 หมื่นล้าน

4. ตัวเลขการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯของจีนทำระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน จีนกำลังส่งสัญญาณอะไร?

 

          วานนี้ SET INDEX บวกถึง 26.03 จุด ทะลุแนวต้านที่บริเวณ 1730 จุด ขึ้นมาปิดที่ 1744.42 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นถึง 8 หมื่นล้านบาท

          กระแสเงินทุน: นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 4 อีกราว 1.5 พันล้านบาท รวม 4 วันทำการซื้อสุทธิสะสมทั้งสิ้นราว 4.1 พันล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิหนาแน่นราว 4.9 พันล้านบาท ด้านตลาด SET50 Index Futures นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Short สุทธิวันแรกในรอบ 5 วันทำการราว 1.1 หมื่นสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Long สุทธิสะสมราว 6 หมื่นสัญญา โดย S50U18 มี Premium จาก SET50 Index ราว 2.6 จุด จากวันก่อนหน้ามี Discount ราว 2.5 จุด ด้านสถาบันในประเทศและบัญชี บล. มีสถานะ Short สุทธิเป็นวันที่ 5 อีกราว 3.7 พันสัญญา รวม 5 วันทำการมีสถานะ Short สุทธิสะสมราว 2.7 หมื่นสัญญา ส่งผลให้ QTD มีสถานะ Short สุทธิสะสมราว 2.3 หมื่นสัญญา  

          ตลาดตราสารหนี้: นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8 อีกเล็กน้อยราว 418 ล้านบาท รวม 8 วันทำการซื้อสุทธิสะสมราว 2 หมื่นล้านบาท

 

 

จีนประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯมูลค่ารวม US$6 หมื่นล้านในอัตราภาษี 5-10% และจะมีผลบังคับใช้วันที่ 24 ก.ย.

จีนรายงานการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯทำจุดต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.06%

ประธานาธิบดีสหรัฐฯเผยจะตอบโต้จีนทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงหากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของจีนไปกระทบ กลุ่มเกษตรกร, ฟาร์มปศุสัตว์ และแรงงานในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ

ประธานสภาหอการค้าสหรัฐฯวิจารณ์รัฐบาลว่าการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นการไม่คำนึงถึงคำเตือนและผลกระทบของผู้บริโภคและภาคธุรกิจของสหรัฐฯ

GPSC ยืนยันยังคงดำเนินแผนการซื้อกิจการ GLOW

ครม.มีมติเห็นชอบโครงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กับผู้มีรายได้น้อยในการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการซื้อสินค้า

ติดตามการประชุม กนง. และการประชุมธนาคารญี่ปุ่น (BOJ) วันนี้

ติดตามการรายงานนำเข้า/ส่งออกไทยเดือน ส.ค.2561 ตลาดคาดส่งออกขยายตัว 4.0% YoY และการรายงานเงินเฟ้อญี่ปุ่นเดือน ส.ค. วันที่ 21 ก.ย.

การปรับน้ำหนักดัชนี FTSE ณ ราคาปิดวันที่ 21 ก.ย.