- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 17 September 2018 18:51
- Hits: 5882
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ทรัมป์ยังจะเก็บภาษีจีน แต่การเมืองไทยหนุน SETต่อ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวันศุกร์ – SET Index ปรับขึ้นต่อ +4.25 จุด ปิดที่ 1722.21 จุด มูลค่าการซื้อขายต่ำลงเป็น 59 พันล้านบาท SET มีโมเม็นตัมดีต่อ หลังจากมีปัจจัยบวกในประเทศคือ ความหวังการเลือกตั้งไทยที่จะเกิดขึ้นตามโรดแมป และศาลปกครองกลางตัดสินเยียยาให้ DTAC sentiment ดีขึ้น ด้านปัจจัยต่างประเทศที่ดีขึ้นคือ ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อ่อน ลดความกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือนนี้ ความหวังการเจรจาการค้าสหรัฐกับจีนรอบใหม่ ดอลลาร์อ่อนค่า หลัง ECB ทยอยลด QE บาทแข็ง เงินไหลเข้าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี และ ดัชนีความกลัว (VIX) ลดลง แม้ปัจจัยต่างประเทศที่เป็นลบเดิมๆยังค้างคาอยู่ ด้านผู้ขายสุทธิรายเดียวเป็น นักลงทุนทั่วไป 4.3 พันล้านบาท ส่วนผู้ซื้อสุทธิคือ สถาบัน 3.5 พันล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ 0.5 พันล้านบาท และต่างชาติ 0.3 พันล้านบาท
แนวโน้มและกลยุทธ์– ระยะสั้นปัจจัยต่างประเทศเป็นลบเพิ่มขึ้นจากการที่ทรัมป์ยังตั้งใจเก็บภาษีจากจีน แม้จะมีการเปิดเจรจารอบใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐประกาศวันศุกร์หลายรายการมีทั้งอ่อนและสูงกว่าคาด ขณะที่ยังจับตาเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ปลายเดือนนี้ แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ขึ้นไปอีกเป็น 2.9977% แล้วดอลลาร์แข็งค่า จึงยังมีโอกาสปรับขึ้น แต่ SET ยังมีปัจจัยบวกจากการเมืองในประเทศคือ จะมีการใช้ ม.44 ปลดล็อคพรรคการเมือง สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่เป็นภาพใหญ่คือราคาน้ำมันผันผวน ECB ทยอยลด QE และหยุดตอนสิ้นปี มีเงินไหลมาลงทุน EM น้อยลง วิกฤติค่าเงิน EM ยังไม่คลี่คลาย ด้านปัจจัยบวกระยะกลาง-ยาว คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นดีขึ้นและเศรษฐกิจของไทยเหนือกว่า EM อื่นคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง หนี้ต่างประเทศน้อย ด้านตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้อ่อนเป็นส่วนใหญ่ ดาวโจนส์ล่วงหน้า -38 จุด (8.18 น.) น้ำมันเช้านี้ปรับลง ระยะสั้นยังต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะมีออกมาเช่นกัน ปัจจัยที่ยังต้องติดตามคือ สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านมีผลกับราคาน้ำมันให้ปรับขึ้น ส่วนระยะกลาง-ยาวเฟดคาดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง (ปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี) และปีหน้าอีก 3 ครั้ง ทำให้แนวโน้มดอลลาร์แข็งค่า และเงินไหลออกกลับไปสหรัฐ นับว่าปัจจัยต่างประเทศยังกดดันในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป แต่ปัจจัยภายในที่ดีคือ การเลือกตั้งไทยเป็นไปตามโรดแม็ป เศรษฐกิจไทยยังดี แต่กังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้าตั้งแต่ปีหน้า กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจ หุ้นเน้นธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) รวมทั้งหุ้นปันผลสูง นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1700-1750 จุด ด้าน SET ตามพื้นฐานระยะยาวให้ไว้ที่ 1860 จุด ที่ P/E 17 เท่า ซึ่งเป็น Median+1 SD และ EPS ปี 61 เติบโตเฉลี่ย 10% แนะนำให้ทยอยสะสมได้
Update หุ้นเด่น: MINT – คาดว่า MINT จะมีกำไรงวด 3Q61 ที่น่าตื่นเต้น เพราะโรงแรมที่ยุโรปเข้าสู่ไฮ ซีซั่น ขณะที่โรงแรมที่โปรตุเกสและบราซิล คาดว่าอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) จะเป็นตัวเลขสองหลักทีเดียว ด้านไทยยังเป็นฤดูกาลที่อ่อน จึงมีแนวโน้มจะฟื้นตัวเร็วกว่าหลักทรัพย์โรงแรมอื่นๆ เราคาดว่า NH Hotel ที่บริษัทซื้อเข้ามาจะมีแนวโน้มที่สดใส เพราะได้มีการปรับปรุงตกแต่ง (renovate) เรียบร้อยแล้ว ยังผลให้สามารถปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักได้ คงคำแนะนำ ซื้อ เราคาดว่าการได้ NH Hotel รวมเข้ามา หลังทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ จะทำให้มีส่วนเพิ่ม (upside potential) มากขึ้น กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 46.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวก แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อย่างไรก็ตามอาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้าน 1730-1740-1750 แนวตัดขาดทุนต่ำกว่า 1700 จุด
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ KBANK, ASAP, GOLD, BCPG, RS, MINT, GLOBAL, BEM, BGRIM หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ HMPRO, PTT, ROBINS, AEONTS หุ้นที่หลุด List - หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit RJH, AP, TCAP, PYLON, AMATA
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+/- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์เพิ่มเล็กน้อย แต่ Nasdaq ปรับลง
# ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,154.67 จุด เพิ่มขึ้น 8.68 จุด หรือ +0.03% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.98 จุด เพิ่มขึ้น 0.80 จุด หรือ +0.03% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,010.04 จุด ลดลง 3.67 จุด หรือ -0.05%
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อวันศุกร์ (14 ก.ย.) แต่ขยับขึ้นไม่มากนัก เช่นเดียวกับดัชนี S&P ที่บวกขึ้นเพียงเล็กน้อย ด้าน Nasdaq ปิดขยับลงเล็กน้อย หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการซึ่งมีทั้งที่ออกมาดีกว่าและแย่กว่าคาดการณ์ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังมีข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ถีงแม้นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีนเพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ และจีนได้ตอบรับคำเชิญแล้วก็ตาม
+/- ตลาดน้ำมัน : น้ำมัน WTI ปรับขึ้น กังวลอุปทานลดจากการคว่ำบาตรสหรัฐต่ออิหร่าน แต่เบรนท์ลด
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ปรับตัวขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 68.99 ดอลลาร์/บาร์เรลในวันศุกร์ และเพิ่มขึ้น 1.8% ในรอบสัปดาห์
# สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 9 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 78.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ทั้งสัปดาห์เพิ่มขึ้น 1.6%
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (14 ก.ย.) จากการคาดการณ์ที่ว่ามาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐต่ออิหร่านจะส่งผลให้ภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัว หลังจากที่สหรัฐได้กดดันให้ประเทศต่างๆ ปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐต่อการนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน นอกจากนี้ ตลาดยังคงจับตาผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์ที่อาจมีต่อตลาดพลังงาน รวมไปถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและลามไปถึงความต้องการใช้น้ำมัน
• ทองคำ : ปรับลง หลังดอลลาร์แข็งค่า จับตาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 7.1 ดอลลาร์ หรือ 0.59% ปิดที่ 1,201.1 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ทั้งสัปดาห์ สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นไม่ถึง 1%
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อวันศุกร์ (7 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังสหรัฐเผยข้อมูลเศรษฐกิจบางรายการที่ออกมาดีเกินคาด ขณะที่ตลาดจับตาสถานการณ์การค้าสหรัฐและจีนต่อเนื่อง หลังมีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ถีงแม้นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ และจีนได้ตอบรับคำเชิญแล้วก็ตาม
-ทรัมป์ยังตั้งใจเก็บภาษีจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์ แม้จะมีการเจรจา
# ปธน.ทรัมป์ได้เรียกประชุมที่ปรึกษาทางการค้า ซึ่งรวมถึงนายมนูชิน, นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ รายงานระบุว่า ปธน.ทรัมป์แจ้งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีเดินหน้าเรียกเก็บภาษี 2 แสนล้านดอลลาร์จากจีน แม้อีกด้านหนึ่ง สหรัฐจะยังคงใช้ความพยายามที่จะเจรจาแก้ไขข้อพิพาททางการค้ากับจีน
+/• สหรัฐฯจะมีการเจรจาการค้ากับจีนอีกครั้ง
# สัปดาห์ที่แล้วนายแลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว ได้ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า คณะทำงานของรัฐบาลสหรัฐได้มีการหารือกัน และมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ทางรัฐบาลจีนก็มีความต้องการที่จะเจรจาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจาของสหรัฐ จึงได้ส่งจดหมายเชิญไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน
+/- ตัวเลขรายงานเศรษฐกิจสหรัฐออกมาวันศุกร์หลายรายการ มีทั้งอ่อนและมากกว่าคาด
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากพุ่งขึ้น 0.7% ในเดือนก.ค. โดยการชะลอตัวของยอดค้าปลีกในเดือนส.ค.ได้รับผลกระทบจากการลดลงของยอดขายรถยนต์และเสื้อผ้า
# ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค.หลังจากพุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนก.ค.
# ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค.
# ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 78.1% ในเดือนส.ค. จากระดับ 77.9 ในเดือนก.ค.
# ดัชนีราคานำเข้าร่วงลง 0.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2559 หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนก.ค.
# กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 0.5% ในเดือนก.ค.
# ด้านผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 100.8 ในเดือนก.ย.ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 96.6 หลังจากแตะระดับ 96.2 ในเดือนส.ค.
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันเดียวกันว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจพุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากที่ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย.
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นอุตสาหกรรม
+ ความคืบหน้าการเลือกตั้งไทย คสช.ออกมาตรา 44 คลายล็อคพรรคการเมือง
# คสช.ออก ม.44 คลายล็อคพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมเตรียมพร้อมเลือกตั้งได้แต่ยังห้ามหาเสียง
# นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า กกต.เตรียมนัดชี้แจงพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองเกี่ยวกับการเตรียมตัวของผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 28 ก.ย.นี้ เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติต่างๆเพื่อให้การเลือกตั้งเกิดความเรียบร้อย ซึ่งคาดว่าจะมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้คลายล็อคพรรคการเมืองออกมาแล้ว
+ คมนาคมเล็งดึงเอกชนร่วมลงทุนขยายสนามบินภูมิภาคช่วง 10 ปี
# นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน " Airports For All : กรมท่าอากาศยานมุ่งมั่น ก้าวไกล เพื่อไทยทุกคน" ว่า กรมท่าอากาศยาน (ทย.) มีแผนการพัฒนาระยะ 20 ปี(2561 - 2570) ของท่าอากาศยาน 28 แห่งและท่าอากาศยานเบตง ที่อยู่ในความรับผิดชอบ วงเงินประมาณ 34,507 ล้านบาท ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ขึ้นและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น
# ส่วนการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในการพัฒนาสนามบินของกรมท่าอากาศยาน ซึ่งจะต้องเลือกสนามบินที่น่าสนใจจูงใจเอกชนให้เข้ามาร่วมลงทุน และเป็นการช่วยลดการลงทุนในส่วนของภาครัฐลง ซึ่งจะทำให้การบริหารและพัฒนาสนามบินของไทย จะมีทั้งที่รัฐลงทุนคือ สนามบิน 24 แห่งของ ทย. ส่วนที่รัฐวิสาหกิจ คือทอท. 6 แห่ง บวกกับโอนจากทย.อีก 4 แห่ง และสนามบินอู่ตะเภาที่จะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุน จะมีความหลากหลายเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ดี และเป็นทางเลือกในการเดินทาง
# ผลกระทบ: เราคาดว่า AOT จะได้รับประโยชน์จากโอกาสที่เปิดช่องให้มากขึ้น ที่ได้บริหารสนามบินที่มีศักยภาพในอนาคต เช่น อู่ตะเภา ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังการเข้าบริหารสนามบินที่มีศักยภาพยังน้อย คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาพื้นฐาน 75.00 บาท ระยะสั้นอาจได้รับผลลบจากนักท่องเที่ยวจีนโตน้อยลง และมีความกังวลว่าการเปิดประมูลบริหารพื้นที่จะล่าช้าตามสุวรรณภูมิเฟส 2 หรือไม่ แต่คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาในช่วงไฮซีซั่นคือ 4Q61 เป็นต้นไป ส่วนการประมูลบริหารพื้นที่ เฟส 1 จะเกิดขึ้นก่อนภายในปีนี้ บริษัทโดดเด่นด้วยลักษณะธุรกิจและโครงการใหม่ๆในอนาคต
• กนง.ประชุม 19 ก.ย.นี้ แต่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ควรติดตามถ้อยแถลง
# ผลกระทบ: แม้มีโอกาสสูงที่ยังไม่ปรับขึ้นครั้ง แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร่งตัวขึ้น ขณะที่กนง.ไทย แม้ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ก็มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในที่สุด โดยมีส่วนหนึ่งที่ต่างประเทศเป็นแรงกดดัน เพียงแต่ ธปท.เองได้ชี้แนวทางว่าจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วหรือไม่ก็ขึ้นกับสถานะสภาพคล่อง NPL และปัจจัยอื่นๆ ของแต่ละธนาคาร ปกติอัตราดอกเบี้ยขึ้นจะไม่ดีกับตลาดหุ้น แต่ขึ้นกับอัตราการปรับขึ้นและความเร็วในการปรับขึ้น แต่หากเศรษฐกิจดีจะมีผลกระทบน้อยลง
+/• ติดตาม ครม.พิจารณาคืนภาษี VAT ให้ผู้มีรายได้น้อยหรือไม่ ในสัปดาห์นี้
# รมว.คลัง เปิดเผยว่า ได้เสนอมาตรการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการรัฐให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบแล้ว ส่วนจะนำขึ้นมาพิจารณาในสัปดาห์นี้หรือไม่ ต้องรอให้รัฐบาลเป็นผู้ตัดสินใจ (Aspen)
# ผลกระทบ: เป็นมาตรการช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก คล้ายๆกับโครงการชอปช่วยชาติ อย่างไรก็ตามการที่โครงการนี้ใช้กับร้านค้าธงฟ้าฯเป็นหลัก ก็จะไม่ได้ส่งผลดีต่อบจ.ในกลุ่มค้าปลีกในตลาดฯโดยตรงนัก แต่ก็ยังได้ประโยชน์โดยอ้อมจากการนำ VAT ที่ได้คืนมาจับจ่ายใช้สอย บริษัทที่เราคาดว่าจะได้รับผลดีในส่วนนี้เป็น CPALL ซึ่งราคาหุ้นอ่อนตัวลงพอควร แนะนำทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุน ราคาพื้นฐานกำหนดไว้ที่ 89.00 บาท
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
OO13882